พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,273 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5586/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในบ้าน: พยานบุคคลพิสูจน์ได้แม้ไม่มีเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ ทะเบียนบ้านไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์
ทะเบียนบ้านที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นเจ้าบ้าน เป็นเพียงหลักฐานของทางราชการที่ระบุว่าใครเป็นเจ้าบ้านและมีใครอาศัยอยู่ในบ้านบ้าง ไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ในบ้าน ทั้งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์ย่อมนำสืบพยานบุคคลและศาลย่อมรับฟังพยานบุคคลได้ ไม่เป็นการนำสืบพยานบุคคลแก้ไขพยานเอกสารอันต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายจากหนี้สินล้นพ้นตัว การส่งคำบอกกล่าวโดยชอบ และการพิสูจน์ทรัพย์สิน
หนี้เงินกู้ตามสัญญาที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์กำหนดระยะเวลาชำระคืนและมีข้อสัญญาว่าทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดคืนก่อนกำหนด การที่ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญากู้และทวงถามให้ชำระหนี้ รวม 2 ครั้งโดยส่งไปยังภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 และมีผู้รับไว้แทนจึงเป็นการส่งโดยชอบ สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นอันเลิกกันหนี้ของโจทก์จึงถึงกำหนดชำระแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จึงตก เป็นผู้ผิดนัด การที่จำเลยทั้งสองมีหนี้ที่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ รวมจำนวนถึง 637,431.30 บาท จำเลยที่ 1 เบิกความว่ามีอาชีพทำตะเกียบ ส่งประเทศไต้หวันตลอดจนมีทรัพย์สินหลายรายการและกำไรที่จะได้รับจากอาชีพที่ทำอยู่เกินกว่าที่เป็นหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2เบิกความว่ามีแผงลอย 2 แผงสำหรับขายของที่ตลาดถ้า โอนไปจะได้เงินประมาณ 150,000 บาท แต่เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของจำเลยลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนให้เชื่อ ว่าเป็นความจริง คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยและการพิสูจน์ความรับผิดของผู้ลากจูงเรือ ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิด
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ขนส่งทำการประมาทเลินเล่อทำให้เรือโจทก์จมลงได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1ให้การปฏิเสธความรับผิดว่าเหตุที่เรือจมเพราะเหตุสุดวิสัย อันเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่เพื่อให้ตนพ้นความรับผิดภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำให้การจึงตกแก่จำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 วรรคแรก จำเลยที่ 1 มี อ.และส. เป็นพยานเบิกความถึงกรณีเรือจมลงว่าเกิดเพราะคลื่นลมแรงจัดเท่านั้น มิได้มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่าที่ว่าคลื่นลมแรงจัดนั้นเป็นคลื่นลมแรงที่ไม่อาจคาดหมายได้จากบุคคลที่ประสบเหตุ และไม่มีใครป้องกันได้อันจะถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 8 ส่วนที่จำเลยที่ 2นำสืบก็ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวอ้าง กลับได้ความตามคำ ของ ช. พยานโจทก์ว่ากรณีที่มีมรสุม นั้นจะมีประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งให้ชาวประมงทราบเพื่อมิให้นำเรือออกทะเลในช่วงที่จำเลยที่ 1 ลากจูงเรือนั้นเป็นระยะที่ไม่มีมรสุม และถึงแม้มีก็ไม่แรง อันแสดงให้เห็นว่า ในระหว่างที่มีการลากจูงเรือนั้น ไม่มีสภาพทางธรรมชาติที่จะให้ผลพิบัติโดยไม่มีใครอาจป้องกันได้ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าความเสียหายของเรือนั้นเกิดเหตุสุดวิสัยอันจะทำให้จำเลยทั้งสองพ้นความรับผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4227/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล: การพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินได้และการลดหย่อนเงินเพิ่ม
บริษัท ส. จำกัด ส่งสัตว์น้ำแช่แข็งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศในนามโจทก์ แต่ตามใบกำกับสินค้ามีชื่อโจทก์เป็นผู้ส่งออก ส่วนค่าอากรขาออกและค่าระวาง บริษัท ส. จำกัด เป็นผู้ชำระทั้งหมด การรับชำระค่าสินค้าที่ส่งออกมีการนำเข้าบัญชีของบริษัท ส. จำกัด จำนวน 15,326,349.84 บาท จำนวนเงินที่ระบุในบัญชีตรงกับใบกำกับสินค้า แม้หลักฐานการส่งออกจะระบุชื่อโจทก์แต่บริษัท ส. จำกัด เป็นผู้รับเงินค่าสินค้า เงินจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่เงินได้ของโจทก์อันจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจำเลยอ้างว่าโจทก์มีเงินได้ 15,531,440.86 บาท มียอดสูงกว่าที่โจทก์พิสูจน์ได้ว่าเป็นของบริษัท ส. จำกัด จำนวน 205,091.02บาท ซึ่งจำนวนนี้โจทก์ไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามิใช่เป็นเงินได้ของโจทก์ จึงต้องถือเป็นเงินได้ของโจทก์ ส่วนเงินได้จากค่าน้ำแข็งจำนวน 649,362 บาท โจทก์ได้สำแดงเป็นรายได้ของโจทก์ไว้เอง ดังนี้ จำเลยนำเงินได้ของโจทก์ทั้งสองจำนวนมาคำนวณภาษีจึงชอบแล้ว การที่โจทก์ลงบัญชีเงินได้ขาดไป อันเป็นการเลี่ยงภาษีอากรบางส่วน จึงไม่มีเหตุที่จะลดหรืองดเงินเพิ่มให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3948/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีและการพิสูจน์ความชอบด้วยกฎหมายของการขายทอดตลาด
ทนายความผู้ประกันขอเลื่อนคดีมาแล้วครั้งหนึ่งอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นศาลชั้นต้นอนุญาต ครั้นถึงวันนัดครั้งต่อไปทนายความผู้ประกันยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่าได้นัดผู้ประกันให้มาเบิกความต่อศาล แต่ผู้ประกันไม่มาและไม่ทราบสาเหตุ แต่ตามคำร้องขอเลื่อนคดีไม่ได้อ้างเหตุจำเป็นอื่นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ และไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปจะทำให้เสียความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้เลื่อนคดี
ผู้ประกันกล่าวอ้างว่า การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์คัดค้าน ดังนี้ หน้าที่นำสืบตกแก่ผู้ประกัน เมื่อผู้ประกันไม่มีพยานมานำสืบ อีกทั้งได้ความตามสำนวนว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศแจ้งการขายทอดตลาดโดยชอบหลายครั้ง ไม่มีผู้ใดสนใจเข้าสู้ราคา เมื่อผู้ซื้อทรัพย์สู้ราคาสูงสุดสูงกว่าราคาประเมิน และศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ขายทรัพย์แก่ผู้ซื้อทรัพย์การขายทอดตลาดจึงเป็นไปโดยชอบแล้ว
การยื่นคำร้องของผู้ประกันในคดีอาญาว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกา ไม่จำต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252
ผู้ประกันกล่าวอ้างว่า การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์คัดค้าน ดังนี้ หน้าที่นำสืบตกแก่ผู้ประกัน เมื่อผู้ประกันไม่มีพยานมานำสืบ อีกทั้งได้ความตามสำนวนว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศแจ้งการขายทอดตลาดโดยชอบหลายครั้ง ไม่มีผู้ใดสนใจเข้าสู้ราคา เมื่อผู้ซื้อทรัพย์สู้ราคาสูงสุดสูงกว่าราคาประเมิน และศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ขายทรัพย์แก่ผู้ซื้อทรัพย์การขายทอดตลาดจึงเป็นไปโดยชอบแล้ว
การยื่นคำร้องของผู้ประกันในคดีอาญาว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกา ไม่จำต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3652/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้ การถือเอาเงินฝากทั้งหมดเป็นเงินได้พึงประเมิน และการพิสูจน์ที่มาของเงิน
โจทก์อ้างว่าเงินในบัญชีกระแสรายวันของโจทก์รวมเงินอื่นซึ่งไม่ใช่เงินได้พึงประเมินไว้ด้วย เงินดังกล่าวมีเป็นจำนวนมากและเป็นของบุคคลหลายคน บุคคลในฐานะเช่นโจทก์น่าจะจัดทำหลักฐานการรับจ่ายไว้ แต่โจทก์ให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กลับไปกลับมาจนฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าโจทก์ได้จัดทำหลักฐานไว้หรือไม่ ที่อ้างว่าเงินเป็นของบุคคลใดบ้างนั้นก็ล้วนมีข้อพิรุธ การที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถือเอายอดเงินสดที่โจทก์นำเข้าฝากในบัญชีของโจทก์เป็นหลักในการคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์ โดยคิดเปรียบเทียบกับกิจการค้าขายของร้านอื่นซึ่งมีสถานการค้าอยู่ในทำเลเดียวกันและค้าขายสินค้าประเภทเดียวกัน แต่มียอดการเสียภาษีเงินได้แตกต่างกับโจทก์จึงชอบด้วยประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3594/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ค่าใช้จ่ายทางภาษี: ใบเสร็จที่พิสูจน์ผู้รับไม่ได้ ไม่ถือเป็นรายจ่ายที่หักลดหย่อนได้
โจทก์มีใบเสร็จรับเงินซึ่งเขียนด้วยลายมือบุคคลคนเดียวกันรวม 43 ฉบับมาแสดงอ้างว่าซื้อสินค้าจากร้าน ช.และร้านท.แต่โจทก์ไม่อาจหาผู้รับเงินได้ทั้งสองรายอ้างว่าร้านค้าทั้งสองรายเลิกกิจการไปแล้ว และไม่อาจตามหาเจ้าของร้านมาแสดงตัวได้ดังนี้ โจทก์น่าจะนำสืบพยานหลักฐานอื่นประกอบให้น่าเชื่อว่าโจทก์ได้สั่งซื้อสินค้าไปจากร้านค้าทั้งสองจริง และได้ชำระเงินไปจริงด้วยวิธีการใด แต่โจทก์หาได้นำสืบอย่างหนึ่งอย่างใดไม่จึงไม่น่าเชื่อว่าจะมีการจ่ายเงินค่าสินค้าไปจริง ตามพฤติการณ์ถือได้ว่ารายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายซึ่งผู้จ่ายพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (18) คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์เท่ากับยืนตามความเห็นของเจ้าพนักงานประเมิน เมื่อได้ทำคำวินิจฉัยเป็นหนังสือและส่งไปยังโจทก์ผู้อุทธรณ์ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 34 จึงชอบแล้ว เพราะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 34 ไม่ได้บัญญัติให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต้องให้เหตุผลในคำวินิจฉัยแจ้งไปยังผู้อุทธรณ์ด้วยแต่อย่างใด รายจ่ายใดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แสดงว่าโจทก์พอใจการประเมินในรายการเกี่ยวกับรายจ่ายเหล่านั้นแล้ว โจทก์จะยกมากล่าวอ้างในชั้นศาลว่าการประเมินรายการนั้นไม่ถูกต้องหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3489/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
งดบังคับคดี: ข้อพิพาทสิทธิในทรัพย์มรดกต้องพิสูจน์ในคดีอื่น
ในชั้นบังคับคดี จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง หากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีจำเลยทั้งสี่ก็ไม่ต้องออกไปจากบ้านพิพาท การที่ผู้ร้องขอให้บังคับคดีต่อไปโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสี่ไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของโจทก์ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในอีกคดีหนึ่งนั้น มิใช่ข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วในขณะที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี ส่วนข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าศาลชั้นต้นได้จำหน่ายคดีอีกคดีหนึ่งดังกล่าวแล้วเพราะจำเลยที่ 1 มิได้ชำระค่าขึ้นศาลภายในกำหนดตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีแล้ว และเป็นผลของคดีซึ่งผู้ร้องจะต้องนำไปแถลงต่อศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไปตามเงื่อนไขของคำสั่งศาลชั้นต้น มิใช่ข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในขณะที่ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องของจำเลยที่ 1 ในการขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดี ศาลชั้นต้นจึงมีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ในขณะมีคำสั่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2356/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาปลอมและการแก้ไขกระบวนพิจารณาเอกสาร: ศาลยืนตามข้อเท็จจริงที่จำเลยพิสูจน์ได้ว่ามีการแก้ไขสัญญากู้ยืม
จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 30,000 บาท โดยจำเลยลงลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้กรอกข้อความในสัญญากู้ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 65,000 บาทโดยจำเลยมิได้ยินยอมสัญญากู้ดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม และถือว่าการกู้เงินระหว่างโจทก์ จำเลยไม่มีหลักฐานการกู้ยืมตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้ จำเลยได้เสียค่าอ้างพยานเอกสารภายหลังตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการแก้ไขกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับการอ้างเอกสารซึ่งบกพร่องให้บริบูรณ์แล้ว เอกสารที่จำเลยอ้างจึงใช้ได้ และไม่ทำให้การพิจารณาและพิพากษาของศาลชั้นต้นเสียไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2132/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและการพิสูจน์สถานะของอาวุธปืน
พนักงานสอบสวนเบิกความว่าได้สอบถามจำเลยปรากฏว่าจำเลยไม่มีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน จำเลยไม่นำสืบหักล้างกลับ เบิกความตอบคำถามค้านเจือสมว่า จำเลยไม่เคยมีใบอนุญาตให้มีอาวุธปืน ไว้ในครอบครอง ถือว่าโจทก์ได้นำสืบแล้ว แม้ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็น ของกลางยืนยันพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวก็เพียงพอฟังลงโทษจำเลย ฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ แต่อย่างไร ก็ตามเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า อาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืน ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีตามกฎหมายหรือไม่ จึงต้องฟังให้เป็นคุณแก่จำเลยว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้ รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสามเท่านั้น.