คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ภารจำยอม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 460 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3823/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ (ภารจำยอม) มีผลผูกพันตามเอกสาร แม้ฝ่ายจำเลยจะอ้างข้อเท็จจริงอื่น
บันทึกเรื่องทางภารจำยอมและแผนผังสภาพถนนซึ่งต่อท้ายข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายที่ดินและตึกแถวซึ่งได้แบ่งแยกจดทะเบียนไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนทางภารจำยอมนี้จะได้มีการจดทะเบียนกันในภายหลังเมื่อรังวัดออกโฉนดเรียบร้อยแล้วภารจำยอมเป็นทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 100 บันทึกดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรค 2 เมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญแล้ว แสดงว่าคู่กรณีเจตนาจะผูกพันกันตามบันทึกนี้ ฉะนั้นจำเลยจะนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารว่า ความจริงโจทก์จำเลยตกลงเรื่องทางภารจำยอมไว้เพียงด้านเดียวหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ต้องฟังว่าตกลงจดทะเบียนภารจำยอมถนนทั้งสี่ด้านตามแผนผังดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3823/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายภารจำยอมเป็นอสังหาริมทรัพย์ ผูกพันตามเอกสาร, ห้ามเปลี่ยนแปลงข้อตกลงด้วยพยานบุคคล
บันทึกเรื่องทางภารจำยอมและแผนผังสภาพถนนซึ่งต่อท้ายข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายที่ดินและตึกแถวซึ่งได้แบ่งแยกจดทะเบียนไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนทางภารจำยอมนี้จะได้มีการจดทะเบียนกันในภายหลังเมื่อรังวัดออกโฉนดเรียบร้อยแล้ว ภารจำยอมเป็นทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 100 บันทึกดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรค 2 เมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญแล้ว แสดงว่าคู่กรณีเจตนาจะผูกพันกันตามบันทึกนี้ ฉะนั้นจำเลยจะนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารว่า ความจริงโจทก์จำเลยตกลงเรื่องทางภารจำยอมไว้เพียงด้านเดียวหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ต้องฟังว่าตกลงจดทะเบียนภารจำยอมถนนทั้งสี่ด้านตามแผนผังดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3703-3705/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณะกับภารจำยอม: เมื่อทางสาธารณะมีอยู่แล้ว ย่อมไม่สามารถเป็นภารจำยอมได้
ทางภารจำยอมหมายถึงทางที่ผ่านเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นซึ่งกฎหมายเรียกว่า "ภารยทรัพย์" เจ้าของภารยทรัพย์จำต้องยอมให้มีทางผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งเรียกว่า "สามยทรัพย์" ส่วนทางสาธารณะนั้นเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งไม่มีบุคคลใดเป็นเจ้าของ เมื่อทางพิพาทเป็นทางสาธารณะแล้ว จึงเป็นทางภารจำยอมไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3240/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภารจำยอมและกรรมสิทธิ์ในส่วนควบ กรณีซื้อขายที่ดินและบ้านโดยไม่สุจริต
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จดทะเบียนภารจำยอมที่พิพาทโดยอ้างเหตุเจ้าของรวมคนหนึ่งของสามยทรัพย์ได้ใช้สิทธิมาแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1396 ได้หรือไม่ โจทก์เพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาและมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินของตนเอง ต่อมาโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนบ้านจำเลยรับโอนที่ดิน ดังนี้ กรณีจะปรับเข้ากับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 หาได้ไม่เพราะมาตรา 1310 เป็นเรื่องสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น
บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน หากจำเลยซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตจำเลยย่อมได้บ้านไปด้วยตามหลักส่วนควบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสอง
ประเด็นเรื่องส่วนควบเป็นประเด็นที่ว่ากันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ด้วยแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อนี้เสียเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1), 247 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3240/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภารจำยอม-ส่วนควบ-การซื้อขายโดยสุจริต กรณีสร้างบ้านในที่ดินของตนเอง
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จดทะเบียนภารจำยอมที่พิพาทโดยอ้างเหตุเจ้าของรวมคนหนึ่งของสามยทรัพย์ได้ใช้สิทธิมาแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1396 ได้หรือไม่ โจทก์เพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาและมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินของตนเอง ต่อมาโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนบ้านจำเลยรับโอนที่ดิน ดังนี้ กรณีจะ ปรับเข้ากับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 หาได้ไม่เพราะมาตรา 1310 เป็นเรื่องสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น
บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน หากจำเลยซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตจำเลยย่อมได้บ้านไปด้วยตามหลักส่วนควบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสอง
ประเด็นเรื่องส่วนควบเป็นประเด็นที่ว่ากันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ด้วยแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อนี้เสียเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1), 247 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอม: การจำกัดสิทธิใช้ทางเดินทั้งแปลงโดยการปิดประตู แม้เปิดช่องไว้ก็ขัดแย้งกับข้อตกลง
จำเลยได้จดทะเบียนให้ที่ดินของจำเลยตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ โดยยอมให้ใช้เป็นทางเดินทั้งแปลงการที่จำเลยทำประตูเหล็กปิดกั้นที่ดินซึ่งเป็นทางภารจำยอมแม้จะเปิดเป็นช่องประตูเล็กไว้ให้โจทก์เดินผ่านเข้าออกได้ก็เป็นการทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเดินทั้งแปลงต้องถูกจำกัดให้น้อยลง จำเลยจึงไม่มีสิทธิทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1326/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสร้างอาคารคร่อมทางภารจำยอม ไม่ทำให้เสื่อมสภาพการใช้ประโยชน์ จึงไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ
แม้สร้างตึกคร่อมทางภารจำยอมพิพาท แต่ยังเดินผ่านและรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่แล่นเข้าออกได้สะดวก ไม่ทำให้เสื่อมสภาพต่อการใช้ประโยชน์แห่งทางภารจำยอมพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 เป็นบทบัญญัติที่กล่าวถึงลักษณะแห่งภารจำยอมมิใช่บทบัญญัติห้ามเจ้าของภารยทรัพย์สร้างอาคารตึกคร่อมทางภารจำยอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความ: การใช้ทางเดินโดยสิทธิอาศัยไม่ใช่การครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับโอนที่ดินมาจากเจ้าของเดิมซึ่งได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณะมาราว 40ปี จนได้ภารจำยอมแล้วจึงขายให้โจทก์ ต่อมาจำเลยปิดทางภาระยอมนั้นเสีย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยเปิดได้ความว่าเดิมที่ดินแปลงของจำเลยกับแปลงของโจทก์เป็นที่ดินมรดกแปลงเดียวกัน เมื่อได้รับมรดกมาแล้วทายาทได้แบ่งโฉนดกันที่แปลงของโจทก์อยู่ข้างใน ส่วนแปลงของจำเลยอยู่ติดถนนสาธารณะมีบ้านมรดกอยู่ในที่ดินแปลงของจำเลยหนึ่งหลัง เจ้าของที่ดินเดิมแปลงของโจทก์ได้อาศัยอยู่ในบ้านมรดกหลังนี้ตลอดมา เพิ่งออกไปตอนขายที่ดินให้โจทก์แล้ว ดังนี้ การที่เจ้าของที่ดินเดิมอยู่ในบ้านมรดกนั้นเป็นการอยู่โดยใช้สิทธิอาศัยที่ดินจำเลยฉะนั้น การเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะย่อมเป็นการเดินโดยใช้สิทธิอาศัยจำเลย ไม่ใช่โดยปรปักษ์แม้จะใช้เดิน ติดต่อกันมาถึง 40 ปี ก็ไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความโจทก์เองเพิ่งใช้ทางเดินผ่านที่ดินแปลงของจำเลยเมื่อได้รับโอนมายังไม่ถึงสิบปี ที่ดินแปลงของจำเลยจึงยังไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินแปลงของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอาศัย vs. ภารจำยอม: การใช้ทางเดินผ่านที่ดินของผู้อื่นโดยไม่ได้สิทธิโดยชอบธรรม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับโอนที่ดินมาจากเจ้าของเดิมซึ่งได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณะมาราว 40ปี จนได้ภารจำยอมแล้วจึงขายให้โจทก์ ต่อมาจำเลยปิดทางภารจำยอมนั้นเสีย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยเปิดได้ความว่าเดิมที่ดินแปลงของจำเลยกับแปลงของโจทก์เป็นที่ดินมรดกแปลงเดียวกัน เมื่อได้รับมรดกมาแล้วทายาทได้แบ่งโฉนดกันที่แปลงของโจทก์อยู่ข้างใน ส่วนแปลงของจำเลยอยู่ติดถนนสาธารณะ มีบ้านมรดกอยู่ในที่ดินแปลงของจำเลยหนึ่งหลัง เจ้าของที่ดินเดิมแปลงของโจทก์ได้อาศัยอยู่ในบ้านมรดกหลังนี้ตลอดมา เพิ่งออกไปตอนขายที่ดินให้โจทก์แล้ว ดังนี้ การที่เจ้าของที่ดินเดิมอยู่ในบ้านมรดกนั้นเป็นการอยู่โดยใช้สิทธิอาศัยที่ดินจำเลยฉะนั้น การเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะย่อมเป็นการเดินโดยใช้สิทธิอาศัยจำเลย ไม่ใช่โดยปรปักษ์ แม้จะใช้เดิน ติดต่อกันมาถึง 40 ปี ก็ไม่ได้ภารจำยอมโดยอายุความโจทก์เองเพิ่งใช้ทางเดินผ่านที่ดินแปลงของจำเลยเมื่อได้รับโอนมายังไม่ถึงสิบปี ที่ดินแปลงของจำเลยจึงยังไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินแปลงของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3867/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องทางจำเป็น/ภารจำยอม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยนอกประเด็นที่กำหนด และถือว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับทางภารจำยอมถึงที่สุดแล้ว
คำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น ทั้งยังบรรยายว่าที่ดินที่มีทางภารจำยอมนั้นเป็นที่ดินมรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปันกันถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้ตั้งประเด็นว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่นจนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ทั้งในชั้นชี้สองสถานก็ได้กำหนดประเด็นไว้ว่ามีทางภารจำยอมหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นทางจำเป็นและให้เปิดทางจำเป็น จึงเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดนอกฟ้องนอกประเด็น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เปิดทางจำเป็น และยกฟ้องในคำขอข้ออื่น ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเกี่ยวกับทางภารจำยอมแล้ว เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น และมิได้โต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับทางภารจำยอมจึงถึงที่สุด โจทก์จะรื้อฟื้นฎีกาขอให้เปิดทางภารจำยอมอีกหาได้ไม่
of 46