พบผลลัพธ์ทั้งหมด 784 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมมีสิทธิร้องขอแบ่งส่วนทรัพย์สินที่ถูกยึดแทนการขัดทรัพย์
ที่ดินมีโฉนดมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ร่วมกัน ผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์เพื่อให้ศาลปล่อยทรัพย์ที่ยึดหาได้ไม่ผู้ร้องซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของรวมใน โฉนดที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ชอบที่จะร้องขอ ให้ศาลแบ่งส่วนหรือกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 หากข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินมีโฉนดที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมอยู่1ใน 3 ผู้ร้อง ครอบครองเป็นส่วนสัดและปลูกบ้านอยู่อาศัยมา 37 ปีแล้วจำเลยและผู้ร้องได้ตกลงแบ่งแยกโฉนดออกเป็นส่วนของผู้ร้อง และส่วนของจำเลยทั้งได้แบ่งส่วนที่จำเลยและผู้ร้องถือ กรรมสิทธิ์ร่วมกันเพื่อใช้เป็นทางออกสู่ถนน เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการแบ่งแยกโฉนดเสร็จแล้วเหลือเพียง แต่รอคำสั่งให้ไปจดทะเบียนรับโฉนดที่แบ่งแยกเท่านั้นดังนี้ เห็นได้ว่าที่ดินดังกล่าวได้มีการตกลงแยกกรรมสิทธิ์ ส่วนของเจ้าของรวมเป็นที่แน่นอนแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดี ย่อมไม่มีอำนาจที่จะขายส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริตจากความเข้าใจผิดถึงความเป็นเจ้าของ แม้เจ้าของตัวจริงไม่ได้แจ้งปฏิเสธ ศาลยกฟ้องละเมิด
โจทก์อายุเกินกว่า 80 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพทำนามา 10กว่าปีแล้ว อยู่กับ อ. บุตรโจทก์ซึ่งเป็นคนทำนาและค้าขายข้าวมีการปลูกบ้านใหม่อีกหลังติดกันเป็นแฝดจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าอ. ลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาเป็นคนปลูกบ้านหลังใหม่ การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านพิพาทของโจทก์ เป็นการใช้สิทธิในการบังคับคดีตามกฎหมายโดยสุจริต หาได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือกระทำโดยความประมาทเลินเล่อเพื่อให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3497/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บ้านปลูกสร้างติดที่ดินของผู้อื่น แม้ถูกยึดเพื่อขายทอดตลาด ก็ยังถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ และเปิดให้มีการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้
แม้บ้านพิพาทจะปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของบุคคลอื่นและโจทก์ได้นำยึดขายทอดตลาดเพื่อให้ผู้ซื้อรื้อถอนเอาไป แต่สภาพของบ้าน ก่อนมีการรื้อถอนย่อมเป็นอสังหาริมทรัพย์เพราะได้ปลูกสร้างไว้ ติดกับที่ดิน ผู้ร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วย อสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3399/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล่อยทรัพย์ที่ยึด: เจ้าของร่วมไม่มีสิทธิขอปล่อยทรัพย์ตาม ม.288 ว.พ.พ.
การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 จะต้องเป็นกรณีที่จำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด หากจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ยึดร่วมกับผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลชั้นต้นชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยให้งดสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามลำดับ ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เป็นฝ่ายชนะคดีหรือขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 ข.
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่ยึดทั้งแปลง โดยอ้างว่าผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของรวมครึ่งหนึ่ง ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์จากราคาที่ดินทั้งแปลง
ศาลชั้นต้นชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยให้งดสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามลำดับ ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เป็นฝ่ายชนะคดีหรือขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 ข.
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่ยึดทั้งแปลง โดยอ้างว่าผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของรวมครึ่งหนึ่ง ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์จากราคาที่ดินทั้งแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3399/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอปล่อยทรัพย์ที่ยึดจำกัดเฉพาะกรณีจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิหากเป็นเจ้าของร่วม
การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 จะต้องเป็นกรณีที่จำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด หากจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ยึดร่วมกับ ผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ศาลชั้นต้นชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยให้งดสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามลำดับไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เป็นฝ่ายชนะคดีหรือขอให้ปล่อย ทรัพย์ที่ยึด เป็น คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 ข. ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่ยึดทั้งแปลง โดย อ้างว่าผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของรวมครึ่งหนึ่ง ผู้ร้อง ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์จากราคาที่ดินทั้ง แปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ก่อนการโอน และผลกระทบต่อผู้ซื้อโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304 มุ่งประสงค์ คุ้มครองถึงบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต ด้วยจึงบัญญัติ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งให้ เจ้าพนักงานที่ดินผู้มี หน้าที่ทราบ และให้เจ้าพนักงานที่ดิน บันทึกการยึดไว้ ในทะเบียน เมื่อผู้ร้องซื้อและรับโอนที่พิพาท ในวันเดียว กับที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด โดยรับโอน ภายหลังการยึด แต่ต่างเวลากัน เจ้าพนักงานที่ดินยังไม่ได้ รับแจ้งการ ยึดจากเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังนี้ จึงใช้ยัน ผู้ร้องซึ่ง รับโอนโดยสุจริตไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2558/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนเป็นเหตุให้ไม่ต้องบังคับคดี ยึดทรัพย์ หรืออายัด
เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุดได้วางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการบังคับคดีโดยการยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่นต่อไป กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293
การที่ลูกหนี้ได้วางเงินต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วหากว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องถอนการบังคับคดีนั้นตามมาตรา 295(1) เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ได้แถลงรับว่าได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งให้งดการบังคับคดีตามมาตรา 292(2) ศาลจึงชอบที่จะยกคำร้องขอให้งดการบังคับคดีของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นเสียได้
การที่ลูกหนี้ได้วางเงินต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วหากว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องถอนการบังคับคดีนั้นตามมาตรา 295(1) เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ได้แถลงรับว่าได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งให้งดการบังคับคดีตามมาตรา 292(2) ศาลจึงชอบที่จะยกคำร้องขอให้งดการบังคับคดีของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลสั่งให้กรมศุลกากรคืนทรัพย์หรือชดใช้ค่าเสียหาย
สินค้าของกลางเป็นสินค้าที่โจทก์ซื้อจากตลาดในเขตเทศบาลเมืองหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ฟังไม่ได้ว่าเป็นสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้เสียภาษีศุลกากร เจ้าหน้าที่ย่อมไม่มีอำนาจยึด จำเลยจะไม่คืนสินค้าของโจทก์ให้แก่โจทก์โดยอ้างว่าตกเป็นของแผ่นดินแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24หาได้ไม่เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว การที่จำเลยไม่ยอมคืนสินค้าให้แก่โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ
จำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติราชการตามบังคับบัญชาของกรมศุลกากร จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ในราชการของจำเลยที่ 2 ตามปกติ จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
จำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติราชการตามบังคับบัญชาของกรมศุลกากร จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ในราชการของจำเลยที่ 2 ตามปกติ จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3808/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงนอกศาลไม่อาจใช้ขัดขวางการบังคับคดี เจ้าหนี้มีสิทธิยึด/อายัดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้
เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะดำเนินการบังคับคดี โดยวิธียึดหรือ อายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะยกเอาข้อตกลงที่อ้างว่าได้กระทำกันนอกศาล ซึ่งเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายังปฏิเสธว่ามิได้ตกลงลดหนี้ให้เช่นนั้น มาเป็นเหตุมิให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้นหาได้ไม่
ในกรณีการขอเฉลี่ยทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่อาจยกเอาข้อตกลงที่อ้างว่าได้กระทำกันนอกศาลดังกล่าว มาอ้างเป็นเหตุมิให้เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้นโดยการร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้เช่นกัน
ในกรณีการขอเฉลี่ยทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่อาจยกเอาข้อตกลงที่อ้างว่าได้กระทำกันนอกศาลดังกล่าว มาอ้างเป็นเหตุมิให้เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้นโดยการร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์: กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนให้ผู้ร้องตามสัญญาก่อนการยึด
การร้องขัดทรัพย์เป็นการกล่าวอ้างว่าทรัพย์สินที่ยึดมิใช่ของจำเลยแต่เป็นของผู้ร้อง ในคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องก็ได้กล่าวไว้ชัดแล้วว่าบรรดาทรัพย์สินสิ่งก่อสร้างสัมภาระและอุปกรณ์ที่โจทก์นำยึดมิใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลย แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ส่วนข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์เหล่านั้นตกเป็นของผู้ร้องตามสัญญาจ้างทำของเป็นรายละเอียด หาจำต้องกล่าวมาในคำร้องขัดทรัพย์ไม่
ตามสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างระหว่างผู้ร้องกับจำเลยระบุให้ผู้ร้องมีสิทธิเลิกสัญญาในกรณีที่มีเหตุให้ผู้ร้องเห็นว่าจำเลยไม่สามารถจะทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา และจำเลยยอมให้สิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา จนผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาและแต่งตั้งคณะกรรมการทำการริบสิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ลงบัญชีเป็นของผู้ร้องไปแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวจึงตกเป็นของผู้ร้องก่อนที่โจทก์จะไปทำการยึดโดยไม่ต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องอีก
ตามสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างระหว่างผู้ร้องกับจำเลยระบุให้ผู้ร้องมีสิทธิเลิกสัญญาในกรณีที่มีเหตุให้ผู้ร้องเห็นว่าจำเลยไม่สามารถจะทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา และจำเลยยอมให้สิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา จนผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาและแต่งตั้งคณะกรรมการทำการริบสิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ลงบัญชีเป็นของผู้ร้องไปแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวจึงตกเป็นของผู้ร้องก่อนที่โจทก์จะไปทำการยึดโดยไม่ต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องอีก