คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขับไล่ของผู้เช่าที่ให้ผู้อื่นอยู่อาศัย และข้อจำกัดการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากตึกพิพาทที่โจทก์เช่าจาก น.เจ้าของตึกซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัยที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้เช่าตึกโดยจำเลยให้โจทก์ลงชื่อแทนนั้น แม้จะเป็นการโต้เถียงสิทธิการเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยว่าใครเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกก็ตามแต่ก็ไม่เรียกว่าเป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นมิได้รับรองปัญหาข้อเท็จจริงนี้ว่ามีเหตุอันมิควรอุทธรณ์ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกเพื่อตัวโจทก์เองมิใช่ทำสัญญาเช่าแทนจำเลยและฟังต่อไปว่า โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยตั้งบริษัท เจ.เอ.อยู่ชั่วคราว มิใช่โจทก์ให้บริษัท เจ.เอ. อาศัย ซึ่งในประเด็นเช่นนี้ ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหรือปราศจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่ประการใด ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยกประเด็นที่ว่า โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องฟังไม่ได้ว่าได้ให้จำเลยอาศัยข้อเท็จจริงกลายเป็นโจทก์ให้บริษัท เจ.เอ อาศัย ศาลฎีกาจึงรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนี้ไม่ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ต้องห้ามไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นกล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์
โจทก์เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึก แล้วโจทก์ให้จำเลยอาศัยสิทธิของโจทก์ความเกี่ยวพันระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เกี่ยวกับสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึกพิพาทเลย กฎหมายปิดปากไม่ให้ผู้อาศัยกล่าวอ้างว่าผู้ให้อาศัยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์หรือไม่มีสิทธิในทรัพย์ที่เขาให้ตนอาศัย
การอาศัยต้องถือเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ มิใช่สิทธิอาศัยอันเป็นทรัพย์สิทธิตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 บุคคลสิทธินี้ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ให้อาศัยและผู้อาศัย ถ้าผู้ให้อาศัยไม่ประสงค์จะให้ผู้อาศัยอยู่ในตึกพิพาทเมื่อใดผู้ให้อาศัยก็มีสิทธิจะขับไล่ผู้อาศัยออกไปได้ทันที และผู้อาศัยก็มีหน้าที่จะต้องออกไปด้วย
สัญญาเช่ามีว่า เมื่อสิ้นระยะเวลาเช่าแล้ว ถ้าผู้เช่ายังคงอยู่ในสถานที่เช่าต่อมาก็ให้ถือว่าเช่ากันเป็นรายเดือนจนกว่าผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าจะบอกกล่าวล่วงหน้าหนึ่งเดือนเลิกสัญญา ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าของตึกผู้ให้โจทก์เช่าได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ผู้เช่าจึงต้องถือว่าสัญญาเช่าระหว่างเจ้าของตึกกับโจทก์ยังไม่ระงับจำเลยอาศัยตึกพิพาทที่โจทก์เช่าอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขับไล่ของผู้เช่าที่ให้ผู้อื่นอยู่อาศัย และข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากตึกพิพาทที่โจทก์เช่าจาก น.เจ้าของตึก.ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท. จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัย. ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้เช่าตึกโดยจำเลยให้โจทก์ลงชื่อแทนนั้น. แม้จะเป็นการโต้เถียงสิทธิการเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยว่าใครเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกก็ตาม. แต่ก็ไม่เรียกว่าเป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ. คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224. ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่า. โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง. โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นมิได้รับรองปัญหาข้อเท็จจริงนี้ว่ามีเหตุอันมิควรอุทธรณ์. จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 224.
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง. ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกเพื่อตัวโจทก์เอง. มิใช่ทำสัญญาเช่าแทนจำเลย. และฟังต่อไปว่า โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยตั้งบริษัท เจ.เอ.อยู่ชั่วคราว. มิใช่โจทก์ให้บริษัท เจ.เอ.อาศัย. ซึ่งในประเด็นเช่นนี้. ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหรือปราศจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่ประการใด. ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยกประเด็นที่ว่า. โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยหรือไม่.ขึ้นวินิจฉัยว่า. โจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง. ฟังไม่ได้ว่าได้ให้จำเลยอาศัย. ข้อเท็จจริงกลายเป็นโจทก์ให้บริษัท เจ.เอ.อาศัย. ศาลฎีกาจึงรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนี้ไม่ได้. เพราะเป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ต้องห้าม. ไม่.ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นกล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์.
โจทก์เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึก. แล้วโจทก์ให้จำเลยอาศัยสิทธิของโจทก์.ความเกี่ยวพันระหว่างโจทก์และจำเลย.ไม่.เกี่ยวกับสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึกพิพาทเลย. กฎหมายปิดปากไม่ให้ผู้อาศัยกล่าวอ้างว่า.ผู้ให้อาศัยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์หรือไม่มีสิทธิในทรัพย์ที่เขาให้ตนอาศัย.
การอาศัยต้องถือเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ. มิใช่สิทธิอาศัยอันเป็นทรัพย์สิทธิตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 บุคคลสิทธินี้ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ให้อาศัยและผู้อาศัย. ถ้าผู้ให้อาศัยไม่ประสงค์จะให้ผู้อาศัยอยู่ในตึกพิพาทเมื่อใด.ผู้ให้อาศัยก็มีสิทธิจะขับไล่ผู้อาศัยออกไปได้ทันที. และผู้อาศัยก็มีหน้าที่จะต้องออกไปด้วย.
สัญญาเช่ามีว่า. เมื่อสิ้นระยะเวลาเช่าแล้ว ถ้าผู้เช่ายังคงอยู่ในสถานที่เช่าต่อมา. ก็ให้ถือว่าเช่ากันเป็นรายเดือนจนกว่าผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าจะบอกกล่าวล่วงหน้าหนึ่งเดือนเลิกสัญญา. ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าของตึกผู้ให้โจทก์เช่าได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ผู้เช่า. จึงต้องถือว่าสัญญาเช่าระหว่างเจ้าของตึกกับโจทก์ยังไม่ระงับจำเลยอาศัยตึกพิพาทที่โจทก์เช่าอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านาขัดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ศาลพิจารณาประเด็นอำนาจฟ้องและสิทธิการทำสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขเช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตาย มรดกตกเป็นของจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม จำเลยเก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตาย คิดเป็นเงิน 7,020 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำค่าเช่ามาชำระและได้บอกเลิกการเช่านา ขอให้ศาลบังคับ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถึงต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านาขัดต่อ พรบ.ควบคุมค่าเช่านา โมฆะ ไม่มีผลบังคับ และประเด็นอำนาจฟ้องที่ต้องสืบพยาน
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขเช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตายมรดกตกมาเป็นของจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม จำเลยเก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตาย คิดเป็นเงิน 7,020 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำค่าเช่ามาชำระและได้บอกเลิกการเช่านา ขอให้ศาลบังคับ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถังต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้ และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านาขัดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา และประเด็นอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขเช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตายมรดกตกมาเป็นของจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม. จำเลยเก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตาย คิดเป็นเงิน 7,020 บาท. โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำค่าเช่ามาชำระและได้บอกเลิกการเช่านา ขอให้ศาลบังคับ. คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172. ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถังต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง. ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง. สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา.
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้.และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น. ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์.โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง. คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ. การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 184/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าธรรมดา, การโอนสิทธิเช่า, ความคุ้มครอง พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะฯ และอำนาจฟ้อง
จำเลยรับโอนสิทธิการเช่าห้องของโจทก์มาจากผู้เช่าเดิมซึ่งเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้โจทก์ ขณะรับโอนกำหนดเวลาเช่าของผู้เช่าเดิมยังเหลืออยู่ 8 เดือน โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยมีกำหนด 3 ปี 8 เดือน โดยรวมกำหนดเวลาเช่าเดิมด้วย แม้จำเลยจะเสียเงินให้แก่ผู้เช่าเดิมเพื่อรับโอนสิทธิการเช่า. ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาเพราะห้องมีมาแต่เดิมจำเลยหาได้ก่อสร้าง (หรือเสียเงินช่วยค่าก่อสร้าง) ให้โจทก์ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิสืบพยานว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยเช่ามีกำหนดเวลาเกินกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา
การเช่าบ้านหลังจากพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ.2504 ใช้บังคับแล้ว แม้จะเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องแบ่งมรดกก่อน 1 ปี และการแยกสินเดิมออกจากสินสมรสเมื่อราคาที่ดินเพิ่มขึ้น
มาตรา 1744 มุ่งหมายถึงการส่งมอบทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดก โดยผู้จัดการมรดกไม่มีข้อโต้แย้งสิทธินั้นอย่างใด หาใช่บทบัญญัติห้ามทายาทฟ้องผู้จัดการมรดกเพื่อตั้งสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งมรดกจากผู้จัดการมรดกซึ่งโต้แย้งสิทธิของทายาทนั้น ๆ ไม่
เมื่อปรากฏว่าที่ดินเป็นสินเดิม แม้ภายหลังการสมรส ที่ดินนี้จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมากเพียงใดก็ตาม ที่ดินดังกล่าวก็ยังมีสภาพเป็นสินเดิมอยู่นั่นเอง ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นหาใช่ดอกผลของที่ดินไม่ จึงแยกถือเอาราคาในส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็นสินสมรสไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องแบ่งมรดกก่อน 1 ปี และการแยกสินเดิมออกจากสินสมรสเมื่อราคาที่ดินเพิ่มขึ้น
มาตรา 1744 มุ่งหมายถึงการส่งมอบทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกโดยผู้จัดการมรดกไม่มีข้อโต้แย้งสิทธินั้นอย่างใด หาใช่บทบัญญัติห้ามทายาทฟ้องผู้จัดการมรดกเพื่อตั้งสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งมรดกจากผู้จัดการมรดกซึ่งโต้แย้งสิทธิของทายาทนั้นๆ ไม่
เมื่อปรากฏว่าที่ดินเป็นสินเดิม แม้ภายหลังการสมรสที่ดินนี้จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมากเพียงใดก็ตาม ที่ดินดังกล่าวก็ยังมีสภาพเป็นสินเดิมอยู่นั่นเอง ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นหาใช่ดอกผลของที่ดินไม่ จึงแยกถือเอาราคาในส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็นสินสมรสไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องแบ่งมรดกก่อนครบ 1 ปี และการแยกสินเดิมออกจากสินสมรสเมื่อราคาเพิ่มขึ้น
มาตรา 1744 มุ่งหมายถึงการส่งมอบทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกโดยผู้จัดการมรดกไม่มีข้อโต้แย้งสิทธินั้นอย่างใด หาใช่บทบัญญัติห้ามทายาทฟ้องผู้จัดการมรดกเพื่อตั้งสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งมรดกจากผู้จัดการมรดกซึ่งโต้แย้งสิทธิของทายาทนั้นๆ ไม่.
เมื่อปรากฏว่าที่ดินเป็นสินเดิม. แม้ภายหลังการสมรสที่ดินนี้จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมากเพียงใดก็ตาม. ที่ดินดังกล่าวก็ยังมีสภาพเป็นสินเดิมอยู่นั่นเอง.ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นหาใช่ดอกผลของที่ดินไม่. จึงแยกถือเอาราคาในส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็นสินสมรสไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1690/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินค้าสำเร็จรูป-ไม่สำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากร และอำนาจฟ้องกรณีอัตรากำไรมาตรฐาน
สินค้าสำเร็จรูปตามความหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 77.หมายถึงสิ่งใดๆ ซึ่งอาจใช้อุปโภคหรือบริโภคได้ทันทีโดยไม่ต้องเอาสิ่งนั้นไปปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งใดอีก. การพิจารณาว่าสิ่งใดอาจใช้สอยได้ทันทีหรือไม่ต้องพิจารณาจากการใช้ในสภาพปกติ. เพราะวัตถุไม่สำเร็จรูปก็อาจใช้ได้ทันทีเหมือนกัน. หากเป็นการใช้ในสภาพของวัตถุไม่สำเร็จรูป โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งอื่นเสียก่อนจนเปลี่ยนจากสภาพปกติหรือสภาพเดิม. ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นสินค้าสำเร็จรูป.
หัวน้ำหอม ซึ่งสั่งจากต่างประเทศเพื่อใช้แต่งกลิ่นวัตถุอื่น ตามสภาพไม่อาจใช้อุปโภคบริโภคได้ทันที. การใช้ทาผิวหนังเกิดโทษ อาจเป็นผื่นคันระคายแก่ผิวหนัง. การใช้อบวัตถุก็มีความระเหยเร็ว ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร.ดังนี้ย่อมไม่เป็นสินค้าสำเร็จรูป.
ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า ในเรื่องอัตรากำไรมาตรฐาน. โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องในประเด็นข้อนี้หรือไม่. แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยให้การรับตามฟ้องของโจทก์แล้วว่า โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินแล้ว.โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ยุติไม่ต้องสืบพยานในข้อนี้. คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226. เพราะศาลชั้นต้นถือว่า จำเลยรับข้อเท็จจริงตามฟ้องไม่จำต้องสืบพยาน มิใช่คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม มาตรา 24ซึ่งอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 228 ดังนั้นเมื่อจำเลยมิได้แถลงโต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกา.
หัวน้ำหอมผสมโดยสภาพมีกลิ่นหอม นับได้ว่าเป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่งจึงต้องใช้อัตรากำไรมาตรฐานคำนวณรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าอย่างเดียวกับหัวน้ำหอมหรือเครื่องหอม ตามบัญชีอัตรากำไรมาตรฐานฯท้ายประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้าฉบับที่ 4 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 5 ข้อ 12.
of 452