คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจตนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์เจตนาในความผิดฐานยักย้ายข้าว การที่จำเลยทราบประกาศห้ามขนย้ายเป็นองค์ความผิด โจทก์ต้องพิสูจน์
ความผิดฐานยักย้ายข้าวออกนอกเขตห้ามขนย้ายข้าวฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการสำรวจและกักกันข้าวนั้น การที่จำเลยได้ทราบประกาศของคณะกรรมการฯลฯหรือไม่ ย่อมเป็นองค์ความผิดอยู่ด้วย ฉะนั้นในฟ้องจะต้องกล่าวไว้ด้วยว่าจำเลยได้ทราบประกาศของคณะกรรมการฯลฯนั้นแล้วและได้ประพฤติฝ่าฝืนโดยประกาศใดมิฉะนั้นจะเป็นฟ้องที่ขาดองค์ความผิด ไม่ชอบด้วย ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158(5)
อนึ่งเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิดและมิได้รับว่าได้ทราบประกาศนี้แล้ว เช่นนี้ ย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบว่าจำเลยได้ทราบประกาศดังแล้ว มิฉะนั้นจะเอาผิดแก่จำเลยไม่ได้ เพราะประกาศเช่นนี้แม้จะได้ประกาศในหนังสือราชกิจจาก็เป็นประกาศธรรมดา ไม่มีกฎหมายสนับสนุนหรือให้อำนาจให้มีผลเสมือนหนึ่งเป็นกฎหมายอันประชาชนจะพึ่งปฏิเสธไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1176/2492)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้โดยการแสดงเจตนาชัดเจน และผลต่ออายุความ
การรับสภาพหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา172 ตอนท้ายก็แสดงอยู่ชัดว่า ทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบแคลงสงสัย ตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องนั้น ก็ได้ จึงหาจำเป็นต้องทำเป็นหนังสือเสมอไปไม่
บิดาทำสัญญาขายเรือนให้เขา ครั้นต่อมาบิดาตายตนเป็นผู้รับมรดกและยอมรับจะโอนเรือนให้เขาตามสัญญาซื้อขายโดยวาจา และยังได้ยินยอมให้เขาครอบครองเรือนนั้นตั้งแต่บิดาตายตลอดมา ดังนี้ เรียกได้ว่าบุตรยอมรับสภาพต่อผู้ซื้อ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์และการคืนทรัพย์สิน แม้ไม่มีเจตนาลักทรัพย์ก็ยังต้องรับผิดชอบในการคืนทรัพย์
ในคดีที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษทางอาญาและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ด้วยนั้นแม้ศาลจะฟังว่า จำเลยเอาทรัพย์ไปจริงแต่มิได้เจตนาลักยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ก็ดี ศาลก็พิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่จำเลยเอาไปให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้วิวาทและการป้องกันตัว: การพิจารณาเจตนาในการทำร้ายและฐานความผิด
จำเลยเป็นฝ่ายท้าทายเขาว่าใครดีให้ลงมา เขาจึงลงมาจากเรือนแล้วก็ได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น ดังนี้ จำเลยจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันไม่ได้
จำเลยเอามีดแทงผู้ตายตายเนื่องจากวิวาทต่อสู้กัน ปรากฎว่าจำเลยมีกิริยาเมาสุรา อาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็ก และได้แทงผู้ตายแต่เพียงทีเดียวเท่านั้น จึงยังไม่พอจะชี้ขาดว่าจำเลยได้มีเจตนาฆ่า คงมีความผิดเพียงฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 251

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมคบกันฆ่า: การร่วมเดินทาง, ท้าทาย, และการอยู่ในที่เกิดเหตุแสดงเจตนา
จำเลยกับผู้มีชื่ออีก 3 คนเดินทางไปบ้านผู้ตายด้วยกัน คนหนึ่งร้องท้าทายผู้ตาย ๆ ลงเรือนมาแล้วเกิดทำร้ายกันขึ้นกับผู้ที่ไปด้วยกันนั้นจำเลยก็ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที แล้วจำเลยกับผู้มีชื่อก็หนีไปด้วยกันทั้งพวกปรากฎว่าผู้ตายตายในที่เกิดเหตุนั่นเอง ดังนี้ถือว่าจำเลยกับพวกสมคบกันฆ่าผู้ตายตายโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการฆ่าและการลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยใช้มีดแทงผู้มีชื่อตายโดยเจตนาขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 จำเลยให้การแต่เพียงว่าได้ใช้มีดลอบแทงผู้มีชื่อตายจริง ไม่ได้ให้การว่าจำเลยได้ฆ่าผู้มีชื่อตายด้วยเจตนาดังนี้ เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้มีชื่อนั้นศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 251 ฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41-42/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองค่าเช่าเคหะ: จำเลยต้องแสดงเจตนาใช้เป็นที่อยู่อาศัยเพื่อรับความคุ้มครอง
พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ คุ้มครองการเช่าเคหะที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าห้องเช่าอยู่ในเขตเทศบาล จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ มิได้กล่าวในคำให้การเลยว่าห้องเช่าเป็นเคหะอันใช้เป็นที่อยู่อาศัย อันจะเป็นข้อแสดงว่าการเช่าอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเมื่อคำให้การของจำเลยไม่แสดงให้เห็นว่าการเช่าของจำเลยอยู่ในข่ายคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติแล้วคดีก็ไม่มีทางที่จำเลยจะได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่า ฯลฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จ - ความรู้ผิดทางอาญา - ข้อความขัดแย้งในตัว - ไม่ต้องระบุเจตนา
คำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จนั้นแม้จะไม่ได้บรรยายระบุคำว่า "จำเลยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จ" แต่เมื่อข้อความที่บรรยายในฟ้องนั้นได้ความแสดงขัดอยู่ในตัวแล้วว่า จำเลยรู้อยู่ว่าข้อความที่แจ้งมานั้นเป็นความเท็จก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ครบองค์ความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 118 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องแจ้งความเท็จ แม้ไม่ได้ระบุเจตนา แต่แสดงชัดในเนื้อหา
คำฟ้องที่กล่าวหาว่า จำเลยแจ้งความเท็จนั้นแม้จะไม่ได้บรรยายระบุคำว่า 'จำเลยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จ' แต่เมื่อข้อความที่บรรยายในฟ้องนั้นได้ความแสดงชัดอยู่ในตัวแล้วว่า จำเลยรู้อยู่ว่าข้อความที่แจ้งมานั้นเป็นความเท็จ ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ครบองค์ความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 346/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์สำเร็จบางส่วน แม้จะเอาทรัพย์ไปไม่ทั้งหมด ก็ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
จำเลยเจตนาจะลักตะเกียงท้ายรถยนต์ของผู้เสียหาย จึงไขตะปูควงตะเกียงท้ายรถยนต์ จนตะเกียงหลุดจากท้ายรถแล้วดวงหนึ่ง อีกดวงหนึ่งยังไม่หลุด ดังนี้ถือว่าจำเลยกระทำการจนตะเกียงหลุดเคลื่อนออกไปจากท้ายรถแล้วเรียกได้ว่าเป็นการเอาทรัพย์ไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วส่วนหนึ่ง แม้ทรัพย์สิ่งอื่นจะยังเอาไปไม่สำเร็จก็ตาม (อ้างฎีกาที่ 999/2485)
โจทก์ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์(ในข้อเท็จจริง) ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอ้างว่า ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 220 โจทก์จึงทำฎีกามายื่นในวันรุ่งขึ้นใหม่อีกครั้งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ดังนี้เมื่อมายื่นภายในอายุความฎีกา ศาลชั้นต้นสั้งรับไว้ได้
of 408