พบผลลัพธ์ทั้งหมด 436 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันปล้นทรัพย์และการข่มขืน ถือเป็นความผิดคนละกรรม ศาลลงโทษได้ทั้งสองกระทง
การที่บุคคลหลายคนร่วมกันมาปล้นทรัพย์บ้านใกล้เคียงกันแม้จะแยกกันเข้าทำการในหลายบ้าน แต่ละบ้านมีจำนวนไม่ถึง3 คน อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ก็ตามก็ถือว่าการกระทำทั้งหมดเป็นกรรมเดียวกัน แต่ละคนย่อมมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ประกอบด้วยมาตรา 83 แต่เมื่อคนหนึ่งในจำนวนนั้นไปข่มขืนกระทำชำเราเจ้าทรัพย์ด้วยอันไม่อยู่ในเจตนาของการร่วมกันมา ย่อมเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ซึ่งศาลอาจเรียงกระทงลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ในกรณีที่โจทก์ฟ้องรวมกระทงกันมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และการข่มขืนเป็นคนละกรรมต่างกัน ศาลลงโทษได้ทั้งสองกระทง
การที่บุคคลหลายคนร่วมกันมาปล้นทรัพย์บ้านใกล้เคียงกันแม้จะแยกกันเข้าทำการในหลายบ้าน แต่ละบ้านมีจำนวนไม่ถึง 3 คน อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ก็ตามก็ถือว่าการกระทำทั้งหมดเป็นกรรมเดียวกัน แต่ละคนย่อมมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ประกอบด้วยมาตรา 83แต่เมื่อคนหนึ่งในจำนวนนั้นไปข่มขืนกระทำชำเราเจ้าทรัพย์ด้วยอันไม่อยู่ในเจตนาของการร่วมกันมา ย่อมเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ซึ่งศาลอาจเรียงกระทงลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ในกรณีที่โจทก์ฟ้องรวมกระทงกันมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แม้ศาลล่างไม่วินิจฉัย ศาลฎีกาพิจารณาและแก้ไขคำพิพากษาได้
จำเลยกับพวกรวม 2 คน ใช้อาวุธปืนขู่ และใช้กำลังกอดคอบังคับให้ผู้เสียหายเข้าป่าข้างทาง แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผลัดเปลี่ยนกันจนสำเร็จความใคร่ ย่อมมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้รับรองว่าการกระทำเข้าข่ายโทรมหญิง
จำเลยกับพวกรวม 2 คน ใช้อาวุธปืนขู่ และใช้กำลังกอดคอบังคับให้ผู้เสียหายเข้าป่าข้างทาง แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผลัดเปลี่ยนกันจนสำเร็จความใคร่ ย่อมมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานสมคบร่วมกันฆ่าโดยเจตนาประกอบกับข่มขืนโทรมหญิง: ตัวการร่วม
จำเลยทั้งสามมีเจตจำนงร่วมกันที่จะเข้าแย่งผู้เสียหายจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ดังนั้น การที่จำเลยคนหนึ่งเข้ากำจัดขัดขวางผู้ตายด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็ย่อมอยู่ในวิถีเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยทุกคน ซึ่งจำเลยทุกคนอาจเล็งเห็นผลแห่งการกระทำนั้นได้ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน
การที่จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันมีรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วก้อย ยาวประมาณ2 ศอก โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร ตีผู้ตายอย่างแรง 1 ทีถูกศีรษะเป็นบาดแผลถึงขนาดทำให้กะโหลกศีรษะแตกแยกเป็น 4 เสี่ยงมีเลือดออกในและรอบ ๆ กะโหลกศีรษะมาก แสดงให้เห็นว่า จำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้เป็นเจตนาฆ่าให้ตาย
แย่งหญิงไปจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ตายขัดขวางจึงทำร้ายผู้ตายถึงตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (6)
การที่จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันมีรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วก้อย ยาวประมาณ2 ศอก โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร ตีผู้ตายอย่างแรง 1 ทีถูกศีรษะเป็นบาดแผลถึงขนาดทำให้กะโหลกศีรษะแตกแยกเป็น 4 เสี่ยงมีเลือดออกในและรอบ ๆ กะโหลกศีรษะมาก แสดงให้เห็นว่า จำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้เป็นเจตนาฆ่าให้ตาย
แย่งหญิงไปจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ตายขัดขวางจึงทำร้ายผู้ตายถึงตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (6)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบร่วมกันข่มขืนและฆ่าเพื่อความสะดวกในการข่มขืน ถือเป็นตัวการร่วม
จำเลยทั้งสามมีเจตจำนงร่วมกันที่จะเข้าแย่งผู้เสียหายจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ดังนั้น การที่จำเลยคนหนึ่งเข้ากำจัดขัดขวางผู้ตายด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็ย่อมอยู่ในวิถีเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยทุกคน ซึ่งจำเลยทุกคนอาจเล็งเห็นผลแห่งการกระทำนั้นได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน
การที่จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันมีรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วก้อย ยาวประมาณ 2 ศอก โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร ตีผู้ตายอย่างแรง 1 ทีถูกศีรษะเป็นบาดแผลถึงขนาดทำให้กะโหลกศีรษะแตกแยกเป็น 4 เสี่ยง มีเลือดออกในและรอบ ๆ กะโหลกศีรษะมาก แสดงให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้เป็นเจตนาฆ่าให้ตาย
แย่งหญิงไปจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ตายขัดขวางจึงทำร้ายผู้ตายถึงตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6)
การที่จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันมีรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วก้อย ยาวประมาณ 2 ศอก โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร ตีผู้ตายอย่างแรง 1 ทีถูกศีรษะเป็นบาดแผลถึงขนาดทำให้กะโหลกศีรษะแตกแยกเป็น 4 เสี่ยง มีเลือดออกในและรอบ ๆ กะโหลกศีรษะมาก แสดงให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้เป็นเจตนาฆ่าให้ตาย
แย่งหญิงไปจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ตายขัดขวางจึงทำร้ายผู้ตายถึงตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาสมคบฉุดคร่าข่มขืน ไม่ถึงเจตนาปล้นทรัพย์ แม้พรรคพวกจะกระทำ
จำเลยสมคบร่วมกับพวกไปดักฉุดคร่าผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา มิได้มุ่งประสงค์ต่อทรัพย์แต่พรรคพวกของจำเลยได้ล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์ของผู้เสียหายอีกคนหนึ่งไปด้วย อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที จะฟังว่าจำเลยสมคบรู้เห็นกับพวกในการลักทรัพย์ผู้เสียหายนั้นด้วยไม่ได้ จำเลยคงมีผิดฐานฉุดคร่าและข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาสมคบข่มขืนกระทำชำเรา ไม่ถือเป็นการสมคบปล้นทรัพย์ แม้จะมีเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้น
จำเลยสมคบร่วมกับพวกไปดักฉุดคร่าผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา มิได้มุ่งประสงค์ต่อทรัพย์.แต่พรรคพวกของจำเลยได้ล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์ของผู้เสียหายอีกคนหนึ่งไปด้วย อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที. จะฟังว่าจำเลยสมคบรู้เห็นกับพวกในการลักทรัพย์ผู้เสียหายนั้นด้วยไม่ได้. จำเลยคงมีผิดฐานฉุดคร่าและข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำเพื่อป้องกันการข่มขืนและการทำร้ายร่างกาย
วันเกิดเหตุ จำเลยกลับบ้าน เห็นผู้ตายกำลังกอดปล้ำข่มขืนเพื่อจะกระทำชำเราภริยาจำเลย จำเลยจึงเปิดประตูเข้าไปฟันผู้ตาย 2 ที แล้วจำเลยวิ่งหนีไปทางหลังบ้าน เพราะกลัวผู้ตายซึ่งคว้ามีดจะทำร้ายจำเลย ผู้ตายยังไล่จำเลยไปอีกติด ๆ กัน จำเลยหนีไม่พ้น จึงหันหน้ามาฟันผู้ตายอีก 2-3 ที ผู้ตายผละหนีไปทางหน้าบ้าน แล้วไปนอนตายในลำห้วย ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ภยันตรายนั้นใกล้จะถือ และถือได้ว่าจำเลยได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อถูกข่มขืนและทำร้าย ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง
วันเกิดเหตุ จำเลยกลับบ้าน เห็นผู้ตายกำลังกอดปล้ำข่มขืนเพื่อจะชำเราภริยาจำเลย จำเลยจึงเปิดประตูเข้าไปฟันผู้ตาย 2 ที แล้วจำเลยวิ่งหนีไปทางหลังบ้านเพราะกลัวผู้ตายซึ่งคว้ามีดจะทำร้ายจำเลย ผู้ตายยังไล่จำเลยไปอีกติด ๆ กัน จำเลยหนีไม่พ้น จึงหันหน้ามาฟันผู้ตายอีก 2-3 ที ผู้ตายผละหนีไปทางหน้าบ้านแล้วไปนอนตายในลำห้วย ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง และถือได้ว่าจำเลยได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68