พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8647/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสั่งถอนฟ้องในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว: ศาลฎีกา vs. ศาลชั้นต้น
คดีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ย่อมเป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาสั่ง ศาลชั้นต้นหามีอำนาจสั่งไม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง และจำหน่ายคดีจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเสีย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจำเลยทั้งสองไม่คัดค้านคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8493/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีอาญา: ต้องเกิดภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษเท่านั้น
คดีอาญาเรื่องก่อน ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2540ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ย่อมมีความหมายว่า นับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2540 ภายหลังเวลาที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังแล้วตลอดไปจนครบกำหนด 1 ปีหากจำเลยได้กระทำความผิดขึ้นอีก อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ศาลที่พิพากษาคดีหลังมีอำนาจบวกโทษจำคุกที่รอไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษจำคุกในคดีหลังได้ หากคดีหลังนี้ศาลพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58(ที่แก้ไขใหม่) จำเลยกระทำความผิดคดีนี้เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2540 อันเป็นเวลาก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะพิพากษา แม้คดีนี้ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยถึงจำคุกด้วยก็ตามศาลในคดีนี้ก็ไม่มีอำนาจที่จะนำโทษจำคุกในคดีก่อนที่ศาลพิพากษาก่อนคดีนี้มาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้เพราะการกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้มิใช่เป็นการกระทำความผิดภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษกรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58
แม้ฎีกาของจำเลยในปัญหาว่าสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยหรือไม่จะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา และศาลสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาได้รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้ออื่นในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องการบวกโทษจำเลยอันเกี่ยวพันถึงการกระทำความผิดของจำเลยศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาด้วยว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ลงแก่จำเลยนั้นเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษของจำเลย
แม้ฎีกาของจำเลยในปัญหาว่าสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยหรือไม่จะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา และศาลสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาได้รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้ออื่นในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องการบวกโทษจำเลยอันเกี่ยวพันถึงการกระทำความผิดของจำเลยศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาด้วยว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ลงแก่จำเลยนั้นเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดก: ความขัดแย้งระหว่างผู้จัดการมรดกที่เป็นคู่กรณีในคดีอาญา และพฤติการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ
ในระหว่างที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ม. มารดาผู้ตายเป็นผู้ดูแลให้การอุปการะแก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสามของผู้ตายมาโดยตลอด หลังจากผู้ตายตายได้เพียงไม่กี่วันญาติผู้คัดค้านได้รับ ตัวบุตรผู้เยาว์ทั้งสามของผู้ตายไป ทั้ง ๆ ที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ขณะนั้นยังไม่ทราบข่าวการตายของผู้ตาย แสดงให้เห็นว่า ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลที่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยลำพังแต่ผู้เดียว นอกจากนั้นยังได้ความว่าในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยในข้อหาฆ่าผู้ตาย คดีอยู่ระหว่าง พิจารณานั้น ผู้ร้องได้คัดค้านการขอประกันตัวต่อของผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว ในเมื่อคดีมีผู้ร้องกับผู้คัดค้าน เพียงสองคนเท่านั้นขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อคำนึงถึงสาเหตุ การตายของผู้ตายและพฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ปรากฏในคดีอาญา แล้วถือว่าคนทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในระหว่างที่คดีอาญา ยังไม่ถึงที่สุดถ้าจะให้จัดการมรดกร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 การจัดการมรดก คงจะไม่เป็นผลดีแก่กองมรดกและแก่ประโยชน์ของทายาท ผู้ตายเพราะจะทำให้การดำเนินการจัดการรวบรวมทรัพย์เพื่อ จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกหรือทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและ แบ่งปันมรดกล่าช้าได้ แม้ผู้ร้องมีอายุมาก พูดและเขียนภาษาไทยไม่สะดวก ก็ไม่เป็นเหตุต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดกจึงสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพียงคนเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8072/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งต่อคดีอาญาเช็ค การระงับสิทธิฟ้องร้อง
หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยแล้ว ผู้เสียหายได้นำมูลหนี้ตามเช็คพิพาทไปฟ้องเฉพาะ น. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำเลยตามเช็คพิพาทให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งผู้เสียหายและ น. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว แม้จำเลยจะมิได้เป็นคู่ความในคดีแพ่งด้วยก็ตาม แต่ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852เมื่อหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินและ น. เป็นผู้ค้ำประกันการชำระเงินดังกล่าวเป็นอันสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8008-8009/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ส่งผลให้สิทธิในการฟ้องระงับ
ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 จำเลยที่ 3 ฎีกาในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ เนื่องจากเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7607/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและการระงับสิทธิเรียกร้อง
คดีความผิดต่อส่วนตัวจำเลยที่ 3 ฎีกาแต่ผู้เดียว ต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ยื่นคำร้อง ขอถอนฟ้อง เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่คัดค้าน ศาลฎีกาจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยได้และสิทธินำ คดีอาญามาฟ้องย่อมระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดี
วินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 2870/2541
วินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 2870/2541
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอาญา ไม่กระทบความรับผิดทางละเมิด
มูลละเมิดคดีนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับ ความเสียหายอันเนื่องมาจากโจทก์ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ แก่บุคคลอื่น โดยเป็นเช็คขีดคร่อมและมีคำสั่งห้ามเปลี่ยนมือ แต่เช็คดังกล่าวถูกนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 ในบัญชีจำเลยร่วมซึ่งมิใช่ผู้รับเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่าย เป็นการผิดขั้นตอนไม่เป็นไปตามระเบียบ และจำเลยร่วม เบิกจ่ายเงินดังกล่าวจากบัญชีจำเลยร่วมแล้ว ส่วนคดีที่ โจทก์กับจำเลยร่วมและ น. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้นสืบเนื่องมาจากจำเลยร่วมและ น. ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลายฉบับรวมทั้งเช็คที่เป็นมูลละเมิดในคดีนี้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โจทก์จึงดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยร่วมและ น. ฐานฉ้อโกง แล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน อันเป็นเรื่อง ระงับข้อพิพาทในทางอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิด อันยอมความได้และเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยร่วมและ น. หาได้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ซึ่งมีมูลหนี้มาจาก การละเมิดเป็นคนละเรื่องกัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่พ้น ความรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีแพ่งซ้ำซ้อนหลังมีคำขอส่วนแพ่งในคดีอาญา ศาลต้องห้ามรับฟ้องในส่วนดอกเบี้ยและเงินต้น
คดีแพ่งเรื่องนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลอมใบรับน้ำมันแล้วนำใบรับน้ำมันปลอมไปขอรับน้ำมันจากสถานีคลังน้ำมันของโจทก์โดยไม่ชอบ รวมเป็นเงินค่าน้ำมันทั้งสิ้น 724,239.38 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 946,037.69 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 724,239.38 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและคำขอโจทก์ในคดีอาญาเรื่องก่อนคือการคืนหรือให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์ ซึ่งเป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลในคดีอาญามีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาได้และเมื่อศาลในคดีอาญาได้รับคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ดังกล่าวไว้พิจารณาโดยชอบแล้วย่อมมีผลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173 วรรคสอง (1) จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่นอีก ศาลจึงไม่อาจรับวินิจฉัยคำขอเรื่องดอกเบี้ยในคดีนี้ได้ แม้ในส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์มิได้มีคำขอในคดีอาญาก็ตาม แต่ดอกเบี้ยนี้เป็นดอกผลที่เกิดตามเงินต้นตามกฎหมาย การฟ้องร้องในคดีแพ่งเรื่องนี้ที่ขอบังคับจำเลยในส่วนดอกเบี้ยจึงอาศัยและพึงต้องฟ้องมาในคราวเดียวกับเงินต้น จึงต้องห้ามตามคำฟ้องในส่วนเงินต้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนทางแพ่ง: คำขอส่วนแพ่งในคดีอาญาครอบคลุมดอกเบี้ย จึงห้ามฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำ
คำขอของโจทก์ในคดีอาญาก่อนคือการคืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ซึ่งเป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลในคดีอาญามีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาได้ และเมื่อศาลในคดีอาญาได้รับคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ ดังกล่าวไว้พิจารณาโดยชอบแล้ว ย่อมมีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1)ที่ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่นอีก แม้ในส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์มิได้มีคำขอในคดีอาญา ก็ตาม แต่ดอกเบี้ยนี้เป็นดอกผลที่เกิดตามเงินต้นตามกฎหมาย การฟ้องร้องขอบังคับในส่วนดอกเบี้ยจึงอาศัยและพึงต้อง ฟ้องมาในคราวเดียวกัน จึงต้องห้ามตามคำฟ้องในส่วน เงินต้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คำขอค่าเสียหายดอกเบี้ยในคดีแพ่งต้องห้าม หากมีคำขอชดใช้ค่าเสียหายในคดีอาญาแล้ว
คดีแพ่งเรื่องนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลอมใบรับน้ำมันแล้ว นำใบรับน้ำมันปลอมไปขอรับน้ำมันจากสถานีคลังน้ำมันของโจทก์โดยไม่ชอบ รวมเป็นเงินค่าน้ำมันทั้งสิ้น 724,239.38 บาทขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน946,037.69 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 724,239.38 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและคำขอโจทก์ในคดีอาญาเรื่องก่อนคือการคืนหรือให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์ ซึ่งเป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับ คดีอาญาที่ศาลในคดีอาญามีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษา ได้และเมื่อศาลในคดีอาญาได้รับคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ ดังกล่าวไว้พิจารณาโดยชอบแล้วย่อมมีผลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือศาลอื่นอีก ศาลจึงไม่อาจรับวินิจฉัยคำขอเรื่องดอกเบี้ย ในคดีนี้ได้ แม้ในส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์มิได้มีคำขอในคดีอาญา ก็ตาม แต่ดอกเบี้ยนี้เป็นดอกผลที่เกิดตามเงินต้นตามกฎหมายการฟ้องร้องในคดีแพ่งเรื่องนี้ที่ขอบังคับจำเลยในส่วนดอกเบี้ยจึงอาศัยและพึงต้องฟ้องมาในคราวเดียวกับเงินต้นจึงต้องห้ามตามคำฟ้องในส่วนเงินต้นด้วย