พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2636/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง กรณีศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะโทษ และการพิจารณาโทษฐานมียาเสพติด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นจำคุก 5 ปี ดังนี้ เพียงแก้ เฉพาะ การกำหนดโทษ มิได้แก้บทความผิด เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 เจ้าพนักงานตำรวจจับเฮโรอีนของกลางได้จากจำเลย จำนวน 62หลอด มีปริมาณ 58.625 กรัม นับว่ามีจำนวนมาก และพฤติการณ์เห็นได้ว่าทำไว้เพื่อความสะดวกแก่การจำหน่าย ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกมีกำหนด20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 10 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้ เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2636/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง กรณีศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะโทษ และการพิจารณาโทษเหมาะสมกับพฤติการณ์คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 5 ปี ดังนี้ เพียงแก้เฉพาะการกำหนดโทษ มิได้แก้บทความผิด เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
เจ้าพนักงานตำรวจจับเฮโรอีนของกลางได้จากจำเลย จำนวน 62หลอด มีปริมาณ 58.625 กรัม นับว่ามีจำนวนมาก และพฤติการณ์เห็นได้ว่าทำไว้เพื่อความสะดวกแก่การจำหน่าย ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกมีกำหนด 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 10 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว.
เจ้าพนักงานตำรวจจับเฮโรอีนของกลางได้จากจำเลย จำนวน 62หลอด มีปริมาณ 58.625 กรัม นับว่ามีจำนวนมาก และพฤติการณ์เห็นได้ว่าทำไว้เพื่อความสะดวกแก่การจำหน่าย ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกมีกำหนด 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 10 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2525/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม – การยึดทรัพย์ขัดคำสั่งศาล – อำนาจแก้ไขคำสั่ง – การบังคับคดี
ฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใดเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้ถอนการยึดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์จำเลยกระทำ ก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งศาลที่ให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เป็นการยึดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาแต่เป็นคำสั่งโดยทั่วไป ซึ่งคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เพราะไม่มีบทกฎหมายจำกัดห้ามไว้
ในวันที่ศาลชั้นต้นแจ้งให้ศาลซึ่งได้รับมอบหมายให้บังคับคดีแทนให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยตามคำแถลงของผู้แทนโจทก์ จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้งดหรือยกเลิกการออกหมายบังคับคดีเพราะได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ไว้แล้ว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นว่าให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เรื่องทุเลาการบังคับคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) และมีความหมายเพียงว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งดังกล่าวก็ให้งดการบังคับคดีตามคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีงดการบังคับคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมเกิดผลแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนทำการยึดทรัพย์ในภายหลัง แม้จะอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งให้งดการบังคับคดี ก็เป็นการยึดทรัพย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้งดการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้ถอนการยึดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์จำเลยกระทำ ก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งศาลที่ให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เป็นการยึดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาแต่เป็นคำสั่งโดยทั่วไป ซึ่งคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เพราะไม่มีบทกฎหมายจำกัดห้ามไว้
ในวันที่ศาลชั้นต้นแจ้งให้ศาลซึ่งได้รับมอบหมายให้บังคับคดีแทนให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยตามคำแถลงของผู้แทนโจทก์ จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้งดหรือยกเลิกการออกหมายบังคับคดีเพราะได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ไว้แล้ว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นว่าให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เรื่องทุเลาการบังคับคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) และมีความหมายเพียงว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งดังกล่าวก็ให้งดการบังคับคดีตามคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีงดการบังคับคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมเกิดผลแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนทำการยึดทรัพย์ในภายหลัง แม้จะอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งให้งดการบังคับคดี ก็เป็นการยึดทรัพย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้งดการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งข้อเท็จจริงเรื่องเจตนาสุจริตในการแจ้งความและแสดงข้อความต่อบุคคลที่สาม
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยแสดงข้อความในเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นการใส่ความโจทก์ต่อ ธ.โดยมุ่งหวังให้โจทก์ต้องถูกบริษัท บ. ไล่ออกจากงาน จึงไม่เป็นการแสดงข้อความเอกสารหมาย จ.1 โดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม จำเลยฎีกาว่า ธ.เป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ เป็นกรรมการและได้รับมอบอำนาจจากบริษัท บ.ให้ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลย โจทก์เป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงจาก ธ. ได้ฟ้องคดีแพ่งกลั่นแกล้งยึดทรัพย์จำเลย จนจำเลยไม่อาจทำการค้าได้และยังแจ้งความดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ค นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยในที่สาธารณะเป็นเหตุให้จำเลยอับอายและเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิไปแจ้งความจริงที่จำเลยได้รับการกลั่นแกล้งจากโจทก์ต่อ ธ. และไปพบเกี่ยวกับหนี้สินที่จำเลยจะชำระให้แก่บริษัท บ. ทั้งนี้เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ถือว่าจำเลยใช้สิทธิโดยสุจริต เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2017/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าของกลางเป็นสิ่งลามกอนาจาร จำเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าของกลางเป็นสิ่งลามกอนาจาร เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย และจำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ศาลอุทธรณ์รอการลงโทษจำคุกการที่จำเลยฎีกาต่อมาว่าของกลางไม่ใช่สิ่งลามกอนาจารจึงเป็นการยกข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้โต้เถียงไว้ในศาลชั้นต้นขึ้นมาอ้าง และเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วถือเป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนบริษัทได้เซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับบริษัทด้วย และทุกครั้งที่เช็คของบริษัทขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้ผู้เสียหายบางส่วนแล้วออกเช็คฉบับใหม่ให้ผู้เสียหายไว้สำหรับหนี้ส่วนที่เหลือตลอดมา การกระทำของจำเลยที่ 2 ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีเงินชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายได้ การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าบริษัทเป็นผู้ออกเช็คพิพาทให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนทำในนามของบริษัท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฎีกาว่าผู้เสียหายบีบบังคับให้บริษัทและจำเลยที่ 2 ออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่าผู้สั่งจ่ายไม่มีความสามารถชำระเงินตามเช็คได้ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังแล้วตามมาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนบริษัทได้เซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับบริษัทด้วย และทุกครั้งที่เช็คของบริษัทขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยที่ 2จะชำระเงินให้ผู้เสียหายบางส่วนแล้วออกเช็คฉบับใหม่ให้ผู้เสียหายไว้สำหรับหนี้ส่วนที่เหลือตลอดมา การกระทำของจำเลยที่ 2 ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีเงินชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายได้ การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าบริษัทเป็นผู้ออกเช็คพิพาทให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนทำในนามของบริษัท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฎีกาว่าผู้เสียหายบีบบังคับให้บริษัทและจำเลยที่ 2 ออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่าผู้สั่งจ่ายไม่มีความสามารถชำระเงินตามเช็คได้ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1ปี คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โทษลดเล็กน้อย ไม่รับฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เพียงแก้กำหนดโทษโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่ และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
จำเลยฎีกาว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้น ถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริม)
จำเลยฎีกาว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้น ถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1402/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง, การเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร, และการพิสูจน์สภาพอาคาร
จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงถือว่าจำเลยยินยอมดำเนินกระบวนพิจารณาเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้เท่านั้น เมื่อจำเลยยกข้อต่อสู้นี้ขึ้นในชั้นฎีกาจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
สัญญาจะซื้อขายระบุชัดว่าโจทก์วางมัดจำเป็นเงิน 400,000บาทจำเลยจะนำสืบโต้เถียงเพื่อให้ศาลฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอันมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความที่ปรากฏในเอกสารหาได้ไม่ ต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 94.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
สัญญาจะซื้อขายระบุชัดว่าโจทก์วางมัดจำเป็นเงิน 400,000บาทจำเลยจะนำสืบโต้เถียงเพื่อให้ศาลฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอันมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความที่ปรากฏในเอกสารหาได้ไม่ ต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 94.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม - การยกประเด็นนอกฟ้อง & การโต้เถียงดุลพินิจศาลชั้นต้น
ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่ามีการปลดหนี้ให้แก่จำเลยเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์เพิ่งจะยกขึ้นในชั้นฎีกา ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบกับมาตรา 225 แม้ฎีกาข้อนี้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าไม่สมควรรับวินิจฉัยให้ ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นมิได้หยิบยกคำเบิกความของพยานจำเลยปากมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายนั้นเป็นฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจ ในการวินิจฉัยชั่ง น้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 22.