พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการยื่นคำร้องในคดีประนีประนอม และการบังคับคดีนอกเหนือคำพิพากษา
ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งจำเลยทั้งสามยอมชำระหนี้ให้โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ระหว่างการผ่อนชำระหนี้จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากการทำงานและได้ยื่นคำร้องว่าที่โจทก์ขอให้ต้นสังกัดซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 หักเงินบำเหน็จโดยอาศัยสิทธิตามสัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการไม่ชอบเพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัด ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยคำร้องของจำเลย เนื่องจากจำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีให้ศาลกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการบังคับตามคำพิพากษา อุทธรณ์ของจำเลยแม้พอจะถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นเบื้องต้นก่อนว่าจำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้เพื่อให้ศาลกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้และเป็นประเด็นที่ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยตั้งประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิขอให้ต้นสังกัดของลูกจ้างหักเงินบำเหน็จที่จำเลยที่ 1 จะได้รับ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ซึ่งปัญหานี้ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยเพราะเป็นเพียงประเด็นต่อจากประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้ยกคำร้องของจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยประเด็นหลักในเบื้องต้นก่อนเช่นนี้จึงไม่ชอบ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246 และ 257และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์มิได้มีการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 และเป็นเรื่องที่โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 1 นอกเหนือการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ต้องไปว่ากล่าวโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9862/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์จำนองก่อนมีคำสั่งบังคับคดีเป็นโมฆะ ศาลต้องเพิกถอนการยึด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์ของจำเลยที่ 2เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ปรากฏว่ายังไม่ครบกำหนดที่จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ออกหมายบังคับคดีให้ตามคำขอของโจทก์ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3เพื่อขายทอดตลาด จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการเพิกถอนการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเสีย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 ได้ตามมาตรา 142(5)
การยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการเพิกถอน จึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่ 3 จะต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์จำนองที่ยึดใหม่อีก
การยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการเพิกถอน จึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่ 3 จะต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์จำนองที่ยึดใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9593/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการชำระค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินเกินความจำเป็น ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ชำระเฉพาะส่วนของหนี้
แม้จำเลยที่ 1 จะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19767 โดยอ้างว่าโจทก์นำยึดเกินความจำเป็นแก่การบังคับคดี และโจทก์ยื่นคำคัดค้านไว้แต่ขณะคดีอยู่ระหว่างไต่สวน จำเลยที่ 1 ได้ถอนคำร้องฉบับดังกล่าว คดีจึงไม่มีประเด็นให้ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เกินความจำเป็นแก่การบังคับคดีหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงและมีคำสั่งให้โจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึด ทั้งที่จำเลยที่ 1 ถอนคำร้องไปแล้วจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา โจทก์คงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง จากราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9321/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการของดบังคับคดี: ต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงตามกฎหมาย
ผู้ที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีได้ จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตาม ป.วิ.พ.มาตรา 280
ตามคำร้องของผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิของผู้ร้องในการขอให้งดการบังคับคดีเพียงว่า ผู้ร้องกำลังมีข้อพิพาทกับโจทก์และจำเลยคดีนี้ ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว ผู้ร้องเป็นเพียงคู่ความที่ฟ้องร้องกันอยู่กับโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ดังนั้น ขณะผู้ร้องยื่นคำร้อง ผู้ร้องจึงมิใช่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
ตามคำร้องของผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิของผู้ร้องในการขอให้งดการบังคับคดีเพียงว่า ผู้ร้องกำลังมีข้อพิพาทกับโจทก์และจำเลยคดีนี้ ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว ผู้ร้องเป็นเพียงคู่ความที่ฟ้องร้องกันอยู่กับโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ดังนั้น ขณะผู้ร้องยื่นคำร้อง ผู้ร้องจึงมิใช่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9321/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการขอ งดบังคับคดี ต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมาย ไม่ใช่แค่คู่ความในคดีอื่น
ผู้ที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีได้ จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280
ขณะผู้ร้องยื่นคำร้อง ผู้ร้องเป็นเพียงคู่ความที่ฟ้องร้องกันอยู่กับโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ผู้ร้องจึงมิใช่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
ขณะผู้ร้องยื่นคำร้อง ผู้ร้องเป็นเพียงคู่ความที่ฟ้องร้องกันอยู่กับโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ผู้ร้องจึงมิใช่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9275/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมดสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาภายใน 10 ปี และผลกระทบต่อการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
ป.วิ.พ. มาตรา 271 ที่บัญญัติว่า "?คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น" ภายในกำหนดเวลาสิบปีดังกล่าว เจ้าหนี้ต้องดำเนินการบังคับคดีตามขั้นตอนให้ครบถ้วน ประการแรก ต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ประการที่สอง ต้องแจ้งหรือแถลงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว ประการที่สาม ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าเจ้าหนี้มีความประสงค์ขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้
แม้เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว เจ้าหนี้ก็ยังมีหน้าที่ต้องแถลงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของลูกหนี้ออกขายทอดตลาด แต่เมื่อล่วงเลยระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหนี้ยังมิได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ เจ้าหนี้ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป เจ้าหนี้คงมีสิทธิเพียงที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่ยึดไว้ให้เสร็จสิ้นไปเท่านั้น
การที่เจ้าหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยในคดีแพ่งเป็นเพียงการปฏิบัติตามขั้นตอนในการบังคับคดีแก่จำเลยเท่านั้น เมื่อหนี้ที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เจ้าหนี้มิได้ดำเนินการบังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้นย่อมเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเสียแล้ว หนี้ดังกล่าวย่อมอยู่ในฐานะเป็นหนี้ที่จะร้องขอให้บังคับคดีไม่ได้ ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 (1)
แม้เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว เจ้าหนี้ก็ยังมีหน้าที่ต้องแถลงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของลูกหนี้ออกขายทอดตลาด แต่เมื่อล่วงเลยระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหนี้ยังมิได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ เจ้าหนี้ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป เจ้าหนี้คงมีสิทธิเพียงที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่ยึดไว้ให้เสร็จสิ้นไปเท่านั้น
การที่เจ้าหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยในคดีแพ่งเป็นเพียงการปฏิบัติตามขั้นตอนในการบังคับคดีแก่จำเลยเท่านั้น เมื่อหนี้ที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เจ้าหนี้มิได้ดำเนินการบังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้นย่อมเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเสียแล้ว หนี้ดังกล่าวย่อมอยู่ในฐานะเป็นหนี้ที่จะร้องขอให้บังคับคดีไม่ได้ ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9275/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมดสิทธิบังคับคดีเมื่อไม่ดำเนินการภายใน 10 ปี ทำให้ไม่สามารถขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ที่บัญญัติว่า"คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น" ภายในกำหนดเวลาสิบปีดังกล่าว เจ้าหนี้ต้องดำเนินการบังคับคดีตามขั้นตอนให้ครบถ้วน ประการแรกต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีประการที่สองต้องแจ้งหรือแถลงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว ประการที่สามต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าเจ้าหนี้มีความประสงค์ขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ แม้ว่าเจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและศาลออกหมายบังคับคดีภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เจ้าหนี้ก็ยังมีหน้าที่ต้องแถลงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของลูกหนี้ออกขายทอดตลาดแต่เมื่อล่วงเลยระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหนี้ยังมิได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้เลย เจ้าหนี้ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป เมื่อล่วงเลยระยะเวลาสิบปีแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิเพียงที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่ยึดไว้ให้เสร็จสิ้นไปเท่านั้นแต่จะขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้หรือจำเลยร่วมตามคำพิพากษาในคดีแพ่งอีกหาได้ไม่
เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เจ้าหนี้มิได้ดำเนินการบังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา เจ้าหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดี หนี้ดังกล่าวอยู่ในฐานะเป็นหนี้ที่จะร้องขอให้บังคับคดีไม่ได้ จึงต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 94(1)
เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เจ้าหนี้มิได้ดำเนินการบังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา เจ้าหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดี หนี้ดังกล่าวอยู่ในฐานะเป็นหนี้ที่จะร้องขอให้บังคับคดีไม่ได้ จึงต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 94(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8748/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีที่ถูกเพิกถอน แต่การขายที่ดินให้บุคคลภายนอกก่อนมีคำพิพากษาคดีใหม่ ทำให้ไม่ต้องคืนที่ดิน
แม้การบังคับคดีในคดีแพ่งทั้งสองที่ได้ดำเนินไปแล้วเป็นอันถูกเพิกถอนไปในตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 209 วรรคแรก เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาในคดีแพ่งดังกล่าวใหม่ แต่จำเลยได้จดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องของโจทก์ให้แก่ ม. และ ป. ไปแล้วตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะมีคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในสำนวนที่ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่นั้นต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย คดีถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะบังคับให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8687/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน และการผิดสัญญา การบังคับคดีตาม ป.พ.พ. มาตรา 456
เอกสารหมาย จ. 3 ซึ่งจำเลยทำถึงโจทก์ มีข้อความว่า ตามที่โจทก์ตกลงซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจากจำเลยนั้น จำเลยขอเลื่อนกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ไปโอนพร้อมกับนาง อ. ดังนี้ เอกสารหมาย จ. 3 เป็นหลักฐานซึ่งทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ โจทก์จึงสามารถใช้เอกสารหมาย จ. 3 เป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง ปรากฏว่าจำเลยได้เลื่อนกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นาง อ. มาตลอด นาง อ. จึงฟ้องร้อง จนจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นาง อ. แต่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากราคาที่ดินพิพาทที่ตกลงขายให้แก่โจทก์ และหากจำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นเงินให้แก่โจทก์
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากราคาที่ดินพิพาทที่ตกลงขายให้แก่โจทก์ และหากจำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นเงินให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8223/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีโดยใช้ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเป็นหลักประกัน ศาลมีอำนาจเพิกถอนการขายทอดตลาดได้
ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง และการที่ผู้ประกันไปยื่นคำขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และขอยกเลิกตามเอกสารหมาย ร.4ถึง ร.6 แล้ว จากนั้นกลับมีใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เอกสารหมาย ร.7 โดยที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบแทนดังกล่าวตามเอกสารหมายร.7 และมิได้มีการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทไปเป็นของผู้ประกันแล้ว ผู้ประกันไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทไม่อาจนำมาใช้เป็นหลักประกันในการทำสัญญาประกันตัวจำเลยได้การที่ผู้ประกันนำทรัพย์ของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาเป็นหลักประกันในการประกันตัวจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ การบังคับคดีรายนี้จึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ประกอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบนั้นเสียได้เพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควรตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 และ296 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 การขายทอดตลาดรายนี้เป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1330