คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อนาจาร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 355 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19979/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขืนกระทำชำเราไม่ถึงแก่การพรากเด็กเพื่ออนาจาร ต้องพิจารณาการพาหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล
จำเลยเพียงแต่โทรศัพท์นัดให้โจทก์ร่วมที่ 3 ไปพบบริเวณที่เกิดเหตุ โดยโจทก์ร่วมที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ไปพบ แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 3 บริเวณจุดที่นัดพบทุกครั้ง ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้พาโจทก์ร่วมที่ 3 ไปที่อื่นอีก แสดงว่าจำเลยมิได้หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโจทก์ร่วมที่ 3 การที่จะเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จะต้องเป็นการพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากความปกครองดูแล ทำให้ความปกครองดูแลของบิดามารดาหรือผู้ปกครองเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน ซึ่งคำว่า "พราก" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 หมายความว่า จากไป พา เอาไปจาก แยกออกจากกัน หรือเอาออกจากกัน ดังนั้น การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่เข้าลักษณะพา และแยกเด็กไปจากความปกครองดูแลของผู้ปกครองเด็กอันทำให้ความปกครองดูแลของผู้ปกครองเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนสิทธิ จึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19958/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากเด็กต้องมีการพาไปเสีย การกระทำอนาจารต่อเด็กแต่ละคนมีเจตนาเดียวกัน
ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตาม ป.อ. มาตรา 317 แม้จะมุ่งคุ้มครองมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวน หรือกระทำการใด ๆ อันจะกระทบต่ออำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็ก แต่กรณีจะเป็นความผิดดังกล่าวได้จะต้องมีการกระทำที่เป็นการพราก ซึ่งหมายถึงการพาไปเสียประกอบด้วย การที่เด็กทั้งห้ามาที่ห้องพักของจำเลยด้วยความสมัครใจ จำเลยไม่เคยเป็นผู้พามา และเด็กทั้งห้าสามารถกลับบ้านของตนเองได้เสมอหากต้องการเช่นนั้น เช่นนี้จำเลยจึงมิได้กระทำการใด ๆ อันเป็นการพรากเด็กทั้งห้าไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล จำเลยย่อมไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15832/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารเด็กและพรากเด็กไปเพื่ออนาจาร: การพิจารณาความผิดฐานชำเราและการกระทำอนาจาร
จำเลยใช้อวัยวะเพศถูไถที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยถูกที่ขาของผู้เสียหายที่ 1 ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลไม่พบบาดแผลภายนอก อวัยวะเพศไม่พบรอยฟกช้ำหรือฉีกขาด เยื่อพรหมจารีไม่ฉีกขาด ส่งสารคัดหลั่งในช่องคลอดไปตรวจที่สถาบันนิติเวชวิทยา ไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณีหรือสอดใส่อวัยวะเพศเข้าสู่ช่องคลอดของผู้เสียหายที่ 1 ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่า อวัยวะเพศของจำเลยมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จึงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถสัมผัสอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่มีเจตนาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 คงมีความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14795/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำชำเราเด็กและพรากเด็กจากผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร
ผู้เสียหายที่ 2 พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ผู้เป็นป้า ตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 2 อายุ 3 ปีเศษ เนื่องจากบิดามารดาของผู้เสียหายที่ 2 หย่าร้างกัน ถือว่าผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในฐานะผู้ดูแลผู้เสียหายที่ 2 การที่จำเลยโทรศัพท์ชวนผู้เสียหายที่ 2 ไปพบแล้วพาขึ้นบ้านไปที่ระเบียง แล้วดึงแขนผู้เสียหายที่ 2 จากระเบียงพาเข้าห้องไปกระทำชำเรา เป็นการรบกวนล่วงอำนาจผู้ดูแลของผู้เสียหายที่ 1 ที่มีต่อผู้เสียหายที่ 2 โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็รับฟังข้อเท็จจริงมาดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะใช้ถ้อยคำว่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้ปกครองคลาดเคลื่อนไป ศาลฎีกาก็ปรับบทให้ถูกต้องได้ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความและตามฟ้องโจทก์ จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: การมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหลังเกิดเหตุ ไม่ถือเป็นตัวการร่วม
ในส่วนของจำเลยที่ 7 ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 5 ขับรถยนต์กระบะออกจากขนำที่เกิดเหตุไปโดยบอกว่าจะไปรับพวกอีกคนหนึ่ง แล้วจำเลยที่ 5 ขับรถยนต์กระบะกลับมาพร้อมจำเลยที่ 7 เมื่อมาถึงขนำที่เกิดเหตุ ในขณะที่จำเลยที่ 7 ยืนปัสสาวะอยู่ จำเลยที่ 4 และที่ 6 ซึ่งกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เสร็จแล้วได้ออกมาจากขนำ โดยผู้เสียหายที่ 1 เดินตามออกมาด้วย จำเลยที่ 7 จับมือผู้เสียหายที่ 1 พร้อมถามว่าจะไปไหน ผู้เสียหายที 1 ตอบว่าขอไปปัสสาวะ จำเลยที่ 7 ไม่เชื่อดึงมือผู้เสียหายที่ 1 ไว้อีก ผู้เสียหายที่ 1 สะบัดหลุดวิ่งหนีเข้าไปในป่า จำเลยที่ 7 กับพวกติดตามไม่พบ เนื่องจากผู้เสียหายซ่อนตัวอยู่นั้น ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 7 มีส่วนร่วมคบคิดหรือนัดแนะกับจำเลยอื่นในการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารมาแต่ต้น การที่จำเลยที่ 7 มายังขนำที่เกิดเหตุและกระทำการดังกล่าวหลังจากที่จำเลยอื่นได้พาผู้เสียหายที่ 1 มากระทำชำเราแล้ว ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 7 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยอื่นพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2530/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารเด็ก: พิจารณาจากพยานหลักฐานทางการแพทย์และคำเบิกความของผู้เสียหาย
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นเด็กอายุเพียง 7 ปีเศษ ทั้งร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ หากอวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหายจริงย่อมต้องเกิดร่องรอยฉีกขาด แต่ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ กลับไม่พบบาดแผลที่บริเวณช่องคลอดของผู้เสียหาย คำเบิกความของผู้เสียหายจึงน่าจะเกิดจากความไม่เข้าใจหรือคิดไปเองตามประสาเด็ก ส่วนฎีกาของโจทก์ที่อ้างคำแพทย์หญิง ร. แพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายที่เบิกความตอนหนึ่งว่า อวัยวะเพศของผู้เสียหายมีขนาดเล็ก หากมีการร่วมเพศอาจฉีกขาดได้ แต่หากสอดใส่อวัยวะเพศของผู้ชายเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจฉีกขาดเพราะอวัยวะมีความยืดหยุ่น ตามคำของผู้เสียหายแสดงว่าอวัยวะเพศของจำเลยได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วแต่ล่วงล้ำเข้าไปเพียงเล็กน้อยจึงไม่มีร่องรอยฉีกขาดนั้น เป็นเพียงความเห็นหรือการคาดคะเนของโจทก์ พฤติการณ์ของจำเลยตามที่ได้ความอาจเป็นเพียงการใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายทางด้านนอกเพื่อสำเร็จความใคร่เท่านั้นเพราะหากจำเลยประสงค์จะกระทำชำเราผู้เสียหายจริง แม้ไม่สำเร็จความใคร่ก็ต้องเกิดร่องรอยบอบช้ำปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยมีเจตนากระทำชำเราผู้เสียหายจริงหรือไม่และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้นั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ครูใช้อำนาจทางตำแหน่งกระทำอนาจารและข่มขืนนักเรียนในความดูแล ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277, 279
คืนเกิดเหตุมีการจัดงานในโรงเรียน การที่จำเลยซึ่งเป็นครูประจำชั้นจูงมือผู้เสียหายอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปต่อหน้าบิดาผู้เสียหายและคนอื่นเป็นการใช้อำนาจของครูต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นศิษย์ แม้จะกระทำต่อหน้าศิษย์นอกเวลาเรียนก็ถือว่าศิษย์นั้นอยู่ในความดูแล แล้วจำเลยกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสองและ มาตรา 279 วรรคสองประกอบมาตรา 285 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 277 วรรคสองประกอบมาตรา 285 อันเป็นบทที่โทษหนักที่สุดตามมาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์ยินยอม ศาลลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ได้ตามกฎหมาย
จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจาก น. มารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง แต่การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ไม่ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งมีโทษเบากว่า มิใช่เรื่องเป็นข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจากมารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11058/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำชำเราเด็กและพรากเด็กเพื่ออนาจาร: พยานหลักฐานของผู้เสียหายมีน้ำหนักกว่าคำเบิกความของจำเลย
จำเลยฎีกาว่า การสอบสวนไม่ชอบเพราะพนักงานสอบสวนละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่จำเลยมิได้แสดงไว้โดยชัดแจ้งว่าพนักงานสอบสวนละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5813/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจารกับข่มขืนเป็นคนละกรรมต่างวาระ
การที่จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารถือได้ว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารสำเร็จตั้งแต่จำเลยพรากผู้เสียหายที่ 1 ไป โดยมีเจตนาพรากไปเพื่อการอนาจารโดยไม่คำนึงว่าจะต้องมีการกระทำอนาจารตามเจตนาหรือไม่ ส่วนการที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 หลังจากนั้นเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งซึ่งมีเจตนากระทำชำเราเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเท่านั้น เจตนาจึงต่างกัน ต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
of 36