พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีสุราผิดกฎหมายต้องพิสูจน์เจตนาจำเลยรู้ว่าเป็นของผิดกฎหมาย และการขนสุราผิดกฎหมายไม่อยู่ในข่ายความผิดตามกฎหมายภาษี
การฟ้องคดีอาญาที่หาว่าจำเลยมีสุราผิดกฎหมายไว้ในครอบครองต้องกล่าวในฟ้องหรือมีข้อความพอให้เห็นว่าจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นน้ำสุราที่ผิดกฎหมาย มิฉะนั้นศาลยกฟ้องแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ
ความผิดฐานขนสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น มุ่งเฉพาะการขนน้ำสุราที่ชอบด้วยกฎหมายไปต่างตำบล ถ้าขนสุราผิดกฎหมายไม่เข้าอยู่ในมาตรา 11 พระราชบัญญัติภาษีชั้นใน
ความผิดฐานขนสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น มุ่งเฉพาะการขนน้ำสุราที่ชอบด้วยกฎหมายไปต่างตำบล ถ้าขนสุราผิดกฎหมายไม่เข้าอยู่ในมาตรา 11 พระราชบัญญัติภาษีชั้นใน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 379/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนย้ายข้าวสารปริมาณน้อยเพื่อบริโภคในเรือ ไม่ถือเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกันข้าว
การที่มีข้าวสารติดเรือไปจำนวนเพียง 147 กิโลกรัมเพื่อให้คนเรือและคนโดยสารที่มากับเรือประมาณ 20 คนเศษบริโภคนั้น ไม่เรียกว่าเป็นการขนย้ายตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 327/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์หลังแจ้งเจตนาเปลี่ยนลักษณะการครอบครอง
การที่จำเลยซึ่งเป็นบุตรของเจ้าหนี้ซึ่งยึดถือนาพิพาทไว้ทำต่างดอกเบี้ย ได้แจ้งแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ว่า มารดาได้ยกนาพิพาทนั้นให้แล้ว จำเลยจะเอาเป็นกรรมสิทธิ์และยอมเพิ่มเงินให้โจทก์ ซึ่งฝ่ายโจทก์ก็ตกลง แต่การโอนทะเบียนขัดข้องจึงเลยไม่ได้ให้เงินที่เพิ่มขึ้นนั้นแก่โจทก์ จำเลยครอบครองนาพิพาทตลอดมากว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ถือว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองแทนเป็นครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของตั้งแต่แจ้งแก่โจทก์ดังกล่าว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.ม.แพ่ง ม.1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องนา: พิจารณาเจตนาคู่สัญญาเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาเงินกู้หรือขายฝาก
แม้ในฟ้องจะกล่าวว่าโจทก์ได้ขายฝากนาไว้แก่จำเลย แต่ในฟ้องได้บรรยายรายละเอียดถึงข้อความในสัญญาขายฝากนั้นอีกว่า ได้ฝากนาไว้กับจำเลย ๆ เอาเงินไป มีกำหนดเวลาใช้คืนและมีข้อความว่า ใครจะเอานานั้นเป็นกรรมสิทธิไม่ได้ ดังนี้พิจารณาความประสงค์ของคู่สัญญาเป็นเรื่องโจทก์เอาเงินของจำเลยไปให้จำเลยครอบครองนาแทน ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาจากกิริยาอาการและผลของการกระทำ
จำเลยใช้ไม้สี่เหลี่ยมโตขนาด 3 นิ้วยาว 1 ศอก ตีผู้ตายที่ขมับและแง่ศรีษะ 3-4 ทีโดยแรงถึงเยื่อกะโหลกศรีษะแตก 3 แห่ง และเมื่อผู้ตายล้มลงไปแล้วยังตีซ้ำอีก ดังนี้ ถือว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามมาตรา 249
จำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลในชั้นแรกแม้จะกลับต่อสู้ภายหลังหากคำรับในชั้นแรกนั้น เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล ก็ปราณีลดโทษให้จำเลยได้ตามมาตรา 59
จำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลในชั้นแรกแม้จะกลับต่อสู้ภายหลังหากคำรับในชั้นแรกนั้น เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล ก็ปราณีลดโทษให้จำเลยได้ตามมาตรา 59
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยเจตนา: การทำร้ายด้วยอาวุธจนถึงแก่ความตาย
จำเลยใช้ไม้สี่เหลี่ยมโตขนาด 3 นิ้วยาว 1 ศอกตีผู้ตายที่ขมับและแง่ศีรษะ 3-4 ทีโดยแรงถึงเยื่อกะโหลกศีรษะแตก 3 แห่ง และเมื่อผู้ตายล้มลงไปแล้วยังตีซ้ำอีก ดังนี้ ถือว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามมาตรา 249
จำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลในชั้นแรก แม้จะกลับต่อสู้ภายหลังหากคำรับในชั้นแรกนั้น เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลก็ปราณลดโทษให้จำเลยได้ตามมาตรา 59
จำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลในชั้นแรก แม้จะกลับต่อสู้ภายหลังหากคำรับในชั้นแรกนั้น เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลก็ปราณลดโทษให้จำเลยได้ตามมาตรา 59
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1806/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาสำคัญกว่าข้อตกลงในสัญญาเช่า แม้สัญญาจะระบุวัตถุประสงค์ใช้เช่าเป็นอย่างอื่น
แม้สัญญาเช่าจะมีข้อความชัดเจนว่า เช่าเพื่อประกอบการค้าแต่อย่างเดียวไม่ใช่เป็นที่อยู่อาศัย เมื่อผู้เช่าต่อสู้ว่า เช่าเพื่ออยู่อาศัยมิได้ประกอบการค้าและเช่ามานานแล้ว ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ ดังนี้ ผู้เช่าย่อมนำสืบตามข้อต่อสู้นี้ได้ เพราะศาลจำต้องพิเคราะห์ถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีและความจริงที่ที่ผู้เช่าปฏิบัติประกอบด้วย
จำเลยเช่าตึกแถวอยู่อาศัยหาได้ทำการค้าไม่ เมื่อหมดอายุสัญญาเดิม โจทก์ทำสัญญาเช่าใหม่ เติมข้อความว่าเช่าเพื่อประกอบการค้าแต่อย่างเดียวไม่ใช่เป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้างว่าเป็นธรรมเนียมของโจทก์ที่จะกรอกข้อความเช่นนี้ทุกราย เมื่อจำเลยเซ็นแล้ว ก็คงใช้ตึกห้องที่เช่านี้อยู่อาศัยเช่นเดิม หาได้ใช้ทำการค้าไม่ ดังนี้เห็นได้ว่าการเติมข้อความนั้นลง ก็เพื่อเลี่ยงกฎหมายเท่านั้น จึงต้องบังคับตามความจริง
จำเลยเช่าตึกแถวอยู่อาศัยหาได้ทำการค้าไม่ เมื่อหมดอายุสัญญาเดิม โจทก์ทำสัญญาเช่าใหม่ เติมข้อความว่าเช่าเพื่อประกอบการค้าแต่อย่างเดียวไม่ใช่เป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้างว่าเป็นธรรมเนียมของโจทก์ที่จะกรอกข้อความเช่นนี้ทุกราย เมื่อจำเลยเซ็นแล้ว ก็คงใช้ตึกห้องที่เช่านี้อยู่อาศัยเช่นเดิม หาได้ใช้ทำการค้าไม่ ดังนี้เห็นได้ว่าการเติมข้อความนั้นลง ก็เพื่อเลี่ยงกฎหมายเท่านั้น จึงต้องบังคับตามความจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาให้/หมั้นที่ยังไม่สมบูรณ์: ข้อกำหนดเรื่องการสมรสตามกฎหมายและการไม่เป็นไปตามเจตนาเดิม
พ่อแม่ฝ่ายชายทำสัญญายกที่นา 10 ไร่โดยแบ่งออกจากนาแปลงใหญ่ + ให้เป็นของหมั้นแก่หญิงต่อมาหญิงชายได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันที่บ้านชายไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน นาที่ยกให้ก็ยังไม่ได้มอบหมายให้กันอย่างแท้จริง ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่านา 10 ไร่นี้เป็นของหมั้นตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1436 หญิงจะฟ้องเรียกนา 10 ไร่นี้ในฐานเป็นของหมั้นไม่ได้ หากจะถือว่าเป็นสัญญาให้ที่มีการตอบแทน จุดประสงค์ของผู้ให้เพื่อให้คู่สมรสได้ใช้สรอยทำกินด้วยกันเป็นสำคัญ เมื่อหญิงกับชายไม่ได้สมรสกันโดยถูกต้องตาม ก.ม.แล้วและบัดนี้ยังแยกไม่ได้อยู่กินด้วยกันอีก ก็นับว่าไม่เป็นไปตามความประสงค์ของผู้ให้ จึงไม่มีเหตุที่หญิงจะเรียกร้องเอานานี้ได้ส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การมอบครองเพื่อทำการซื้อขายในอนาคต ไม่ถือเป็นการมอบกรรมสิทธิ
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันผู้ขายได้รับเงินมัดจำไว้แล้ว ได้มอบการครอบครองที่ดินให้ผู้ซื้อโดยเจตนาจะโอนขายให้ผู้ซื้อในภายหลัง แต่ก็ไม่ใช่มอบให้ในการขายเลยเป็นแต่จะได้ทำขายในภายหลัง ซึ่งผู้ซื้อจะต้องชำระเงินเพิ่มขึ้นอีก ดังนี้ มิใช่เป็นการมอบกรรมสิทธิและย่อมต้องถือว่าผู้ซื้อได้ครอบครองโดยอาศัยอำนาจของผู้ขาย จึงไม่ใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ฉะนั้นแม้จะได้ครอบครองมาถึง 10 ปี ก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดสืบพยานและสิทธิในการดำเนินการพิจารณาต่อ ศาลไม่ควรยกฟ้องทันทีหากโจทก์แสดงเจตนาไม่ติดใจสืบพยานและขอให้สืบพยานจำเลย
โจทก์ขาดนัดในชั้นสืบพยานประเด็น เมื่อปรากฎว่าได้สืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปากรวมทั้งตัวโจทก์, และโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องก่อนในวันเดียวกับที่ศาลพิพากษาเรื่องโจทก์ขาดนัดว่า โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานต่อไป ขอให้นัดสืบพยานจำเลย เช่นนี้ยังไม่สมควรจะยกฟ้องโจทก์
ป.ม.วิ.อาญามาตรา 181 บัญญัติให้นำเอามาตรา 166 อันเป็นบทบัญญัติในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาใช้บังคับในชั้นพิจารณาได้โดยอนุโลม ซึ่งหมายความว่าให้ใช้ได้ตามควรแก่กรณี
ป.ม.วิ.อาญามาตรา 181 บัญญัติให้นำเอามาตรา 166 อันเป็นบทบัญญัติในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาใช้บังคับในชั้นพิจารณาได้โดยอนุโลม ซึ่งหมายความว่าให้ใช้ได้ตามควรแก่กรณี