พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,231 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินหลังจดทะเบียน: โจทก์ซื้อโดยสุจริตและจดทะเบียนแล้ว แม้จำเลยครอบครองก่อนก็ไม่มีสิทธิโต้แย้ง
แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมามีฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนก่อนมีการออกโฉนดแล้วก็ดี เมื่อยังมิได้จดทะเบียนสิทธินั้นและโจทก์ได้รับโอนมาโดยมีค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโอนโฉนดกันเรียบร้อยแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะโต้แย้งโจทก์ได้และไม่มีสิทธิครอบครองที่ชายเลนให้เป็นที่กีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ได้
ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คู่ความมิได้กล่าวชัดแจ้งในฎีกาเพียงแต่ให้ทนายความแถลงคารมกันศาลไม่รับวินิจฉัยให้
เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาให้ศาลสืบในวันนัด (เพราะโจทก์ยื่นระบุพยานก่อนวันนัดเพียง 1 วัน ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 ศาลสั่งไม่อนุญาต) ก็ชอบที่จำเลยจะขอให้ตัดพยานโจทก์ในวันนั้นหรือก่อนนั้น โจทก์กลับระบุยื่นพยานใหม่ เมื่อจำเลยยอมให้ เลื่อนไปและโจทก์ได้กลับยื่นระบุพยานใหม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แล้วจำเลยจะคัดค้านให้ตัดพยานอีกไม่ได้
ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คู่ความมิได้กล่าวชัดแจ้งในฎีกาเพียงแต่ให้ทนายความแถลงคารมกันศาลไม่รับวินิจฉัยให้
เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาให้ศาลสืบในวันนัด (เพราะโจทก์ยื่นระบุพยานก่อนวันนัดเพียง 1 วัน ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 ศาลสั่งไม่อนุญาต) ก็ชอบที่จำเลยจะขอให้ตัดพยานโจทก์ในวันนั้นหรือก่อนนั้น โจทก์กลับระบุยื่นพยานใหม่ เมื่อจำเลยยอมให้ เลื่อนไปและโจทก์ได้กลับยื่นระบุพยานใหม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แล้วจำเลยจะคัดค้านให้ตัดพยานอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงตนเป็นคนต่างด้าวแล้ว ไม่สามารถขอพิสูจน์สัญชาติไทยภายหลังได้
คนเข้าเมืองซึ่งยอมแสดงตนเป็นคนต่างด้าวและทำใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปแล้วต่อมาภายหลังจะร้องขอให้ศาลพิสูจน์สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองอีกไม่ได้ เพราะไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คนเข้าเมืองแต่อย่างใด ถ้าหากประสงค์จะขอให้ศาลแสดงสัญชาติก็ชอบที่จะฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิเป็นคดีมีข้อพิพาท(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้สิทธิในที่ดิน: การพิสูจน์ความเสียหายจากการถูกบังสายตาและการใช้ประโยชน์
ระหว่างที่ดินโจทก์และโรงเรือนจำเลยมีทางเดินและโรงเรือนผู้อื่นคั่นอยู่โจทก์จะฟ้องว่าโรงเรือนจำเลยบังที่ดินโจทก์โดยไม่ปรากฎว่าโจทก์เสียหายเป็นพิเศษอย่างใดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่พิพาทเพราะการกระทำของจำเลย โจทก์ย่อมไม่มีทางที่จะชนะคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับสิทธิในที่ดิน: การพิสูจน์ความเสียหายจากการถูกบังสายตาและการเลือกฟ้อง
ระหว่างที่ดินโจทก์และโรงเรือนจำเลยมีทางเดินและโรงเรือนผู้อื่นคั่นอยู่โจทก์จะฟ้องว่าโรงเรือนจำเลยบังที่ดินโจทก์โดยไม่ปรากฏว่า โจทก์เสียหายเป็นพิเศษอย่างใดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่พิพาทเพราะการกระทำของจำเลยโจทก์ย่อมไม่มีทางที่จะชนะคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกคืนเงินสินสอดและทองหมั้นหลังไม่จดทะเบียนสมรส: สิทธิของผู้ให้สินสอดเมื่อฝ่ายรับบิดพลิ้ว
ชายหญิงตกลงสมรสกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนเมื่อปรากฏว่าชายบิดพลิ้วไม่ยอมไปจดทะเบียนแล้วชายจะมาฟ้องเรียกเงินสินสอดและทองหมั้นคืนจากหญิงและบิดามารดาหญิงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินมือเปล่า แม้ไม่สมบูรณ์ตาม กม. แต่การสละสิทธิครอบครองทำให้ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครอง
ซื้อขายที่ดินมือเปล่าโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือย่อมไม่สมบูรณ์ตาม ก.ม.แต่เมื่อผู้ขายได้สละสิทธิ์ครอบครองให้ตกไปยังผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อก็ได้สิทธิ์ครอบครองนั้นทันที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 385/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจเทศบาลในการออกเทศบัญญัติเกี่ยวกับท่าเทียบเรือเอกชน และการจำกัดสิทธิโดยเทศบัญญัติ
เทศบัญญัติของเทศบาลเมืองตะกั่วป่าเรื่องสพานท่าเทียบเรือสาธารณ 2493 ลงวันที่ 4 ม.ค.2494 ข้อ 6 ป.วิธีพิจารณาแพ่ง ม.142(5)
ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อศาลเห็นสมควรจะยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้
เทศบาลจะมีอำนาจตราเทศบัญญัติเรื่องสพานท่าเทียบเรือสาธารณะได้ก็แต่ภายในขอบเขตต์อำนาจของตนโดยไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย
พ.ร.บ. เทศบาล 2486 มาตรา 70 เพียงแต่ให้อำนาจเทศบาลกระทำกิจการใด ๆ ภายในเขตต์เทศบาลเช่นให้มี ฯลฯ ท่าเทียบเรือ ฯลฯเท่านั้น ดังนี้ เทศบาลไม่มีอำนาจออกเทศบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างหรือทำให้เกิดสิ่งกีดขวางขึ้นลงและไปมาในเขตต์ท่าของเทศบาลภายในรัศมี 500 เมตร ดังนี้แม้จำเลยจะได้ปลูกสร้างท่าเทียบเรือขึ้นภายในรัศมีดังกล่าว ก็ไม่ผิดเพราะเทศบัญญัตินั้นไม่มีผลใช้บังคับ
ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อศาลเห็นสมควรจะยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้
เทศบาลจะมีอำนาจตราเทศบัญญัติเรื่องสพานท่าเทียบเรือสาธารณะได้ก็แต่ภายในขอบเขตต์อำนาจของตนโดยไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย
พ.ร.บ. เทศบาล 2486 มาตรา 70 เพียงแต่ให้อำนาจเทศบาลกระทำกิจการใด ๆ ภายในเขตต์เทศบาลเช่นให้มี ฯลฯ ท่าเทียบเรือ ฯลฯเท่านั้น ดังนี้ เทศบาลไม่มีอำนาจออกเทศบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างหรือทำให้เกิดสิ่งกีดขวางขึ้นลงและไปมาในเขตต์ท่าของเทศบาลภายในรัศมี 500 เมตร ดังนี้แม้จำเลยจะได้ปลูกสร้างท่าเทียบเรือขึ้นภายในรัศมีดังกล่าว ก็ไม่ผิดเพราะเทศบัญญัตินั้นไม่มีผลใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของพินัยกรรมที่ขัดแย้งกัน และสิทธิในการรับมรดกเมื่อผู้รับพินัยกรรมเสียชีวิตก่อน
สามีภรรยาต่างทำพินัยกรรมให้แก่กัน พินัยกรรมของภรรยามีข้อความว่า " เมื่อข้าพเจ้าอายชนม์แล้ว บรรดาทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าซึ่งมีอยู่ในเวลานี้และมีต่อไปภายหน้า ขอให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่สามี (ขุนอุปพงษ์ฯ) ผู้รับพินัยกรรม แต่ถ้าขุนอุปพงษ์ ฯ ถึงแก่กรรมล่วงลับไปก่อนข้าพเจ้าก็ขอให้ทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าตกเป็นกรรมสิทธิแก่โจทก์(คุณหญิงเลขวณิช ฯ) เป็นผู้รับพินัยกรรม ฯลฯ " และตามพินัยกรรมของสามี (ขุนอุปพงษ์ฯ) ก็มีข้อความทำนองเดียวกัน ยกทรัพย์ให้แก่ภรรยา (นางจันทร์) ถ้านางจันทร์ล่วงลับไปก่อนก็ยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)
ดังนี้เมื่อภรรยา(นางจันทร์) ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี (ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรม สามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ไม่มีข้อผูกพันตาม ก.ม. ที่สามี (ขุนอุปพงษ์) จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตาม ก.ม.สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใคร ๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยาว่าจะให้โจทก์ก็ตามก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะ
ดังนี้เมื่อภรรยา(นางจันทร์) ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี (ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรม สามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ไม่มีข้อผูกพันตาม ก.ม. ที่สามี (ขุนอุปพงษ์) จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตาม ก.ม.สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใคร ๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยาว่าจะให้โจทก์ก็ตามก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมร่วม: สิทธิการยกทรัพย์หลังคู่สมรสเสียชีวิต ไม่ผูกพันตามข้อตกลงเดิม
สามีภรรยาต่างทำพินัยกรรมให้แก่กัน พินัยกรรมของภรรยามีข้อความว่า "เมื่อข้าพเจ้าวายชนม์แล้ว บรรดาทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าซึ่งมีอยู่ในเวลานี้และมีต่อไปภายหน้า ขอให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) ผู้รับพินัยกรรม แต่ถ้าขุนอุปพงษ์ฯถึงแก่กรรมล่วงลับไปก่อนข้าพเจ้าก็ขอให้ทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)เป็นผู้รับพินัยกรรม ฯลฯ" และตามพินัยกรรมของสามี (ขุนอุปพงษ์ฯ)ก็มีข้อความทำนองเดียวกัน ยกทรัพย์ให้แก่ภรรยา (นางจันทร์) ถ้านางจันทร์ล่วงลับไปก่อนก็ยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)
ดังนี้เมื่อภรรยา (นางจันทร์)ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี(ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรมสามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่มีข้อผูกพันตาม กฎหมาย ที่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ)จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตามกฎหมาย สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใครๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยา ว่าจะให้โจทก์ก็ตาม ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะยกทรัพย์ให้แก่โจทก์เมื่อตาย แต่เมื่อมิได้ทำพินัยกรรมยกให้ไว้โดยตรงดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 536 แล้วก็ใช้บังคับไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นการยกทรัพย์ให้กันตามพินัยกรรมไม่ใช่เรื่องคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374
ข้อผูกพันให้ทรัพย์ตกได้แก่โจทก์ใช้บังคับมิได้เพราะขัดต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2498)
ดังนี้เมื่อภรรยา (นางจันทร์)ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี(ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรมสามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่มีข้อผูกพันตาม กฎหมาย ที่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ)จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตามกฎหมาย สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใครๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยา ว่าจะให้โจทก์ก็ตาม ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะยกทรัพย์ให้แก่โจทก์เมื่อตาย แต่เมื่อมิได้ทำพินัยกรรมยกให้ไว้โดยตรงดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 536 แล้วก็ใช้บังคับไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นการยกทรัพย์ให้กันตามพินัยกรรมไม่ใช่เรื่องคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374
ข้อผูกพันให้ทรัพย์ตกได้แก่โจทก์ใช้บังคับมิได้เพราะขัดต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาตามยอม ย่อมมีอำนาจก่อนเจ้าหนี้ แม้มีการยึดทรัพย์
ตราบใดยังไม่มีคำพิพากษาแสดงว่าการยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมนั้นไม่ถูกต้อง สิทธิตามคำพิพากษานั้นก็ยังคงอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่