พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: เจ้าของรวมฟ้องขับไล่จำเลยเรื่องเดียวกันซ้ำ ศาลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์กับ ส.ท.ภ. และ ล. มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกัน จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจาก ส.ครบกำหนดแล้วส. ฟ้องขับไล่จำเลยดังนี้ เป็นเรื่องที่ ส. เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนจากจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1356,1359 ประกอบด้วยมาตรา 302 กล่าวคือเจ้าของรวมแต่ละคนมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยไม่จำต้องให้เจ้าของรวมทุกคนร่วมกันฟ้อง และจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมหมดทุกคน จึงเท่ากับเป็นการฟ้องคดีแทนเมื่อ ส. ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าแล้วและคดีอยู่ระหว่างพิจารณาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเช่นเดียวกับคดีที่ ส. ฟ้องนั้นอีกจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนนี้ จำเลยมิได้ฎีกา แต่ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขับไล่ แม้ไม่มีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร หากมีหลักฐานการครอบครองโดยสืบสิทธิ
ป.และจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกรวม 8 คนเข้าหุ้นส่วนทำการขายอาหารในภัตตาคาร น. โดยเช่าภัตตาคาร น. มาจากบริษัท น. ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดย ป.กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้เริ่มก่อการในการประชุมตั้งบริษัทโจทก์ครั้งแรกที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาสัญญาเช่าที่ ป.และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้เริ่มก่อการทำไว้กับบริษัท น.เป็นสัญญาเช่าที่ผูกพันบริษัทโจทก์และต่อเมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกเข้าแย่งดำเนินกิจการภัตตาคาร น.บริษัท น.ก็ได้แจ้งให้บริษัทโจทก์ทราบว่า การบุกรุกและยึดกิจการภัตตาคาร น.เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับบริษัท น.ให้บริษัทโจทก์เข้าดำเนินกิจการภัตตาคารต่อไปดุจเดิม ข้อเท็จจริงเป็นดังนี้จึงน่าเชื่อว่าบริษัทโจทก์เข้าครอบครองภัตตาคาร น.โดยสวมสิทธิการเช่าจากห้างหุ้นส่วนผู้เช่าเดิม บริษัทโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและเรียกค่าเสียหายได้ แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือเช่ากับบริษัท น.ต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเช่าภัตตาคาร น.แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขับไล่และเรียกค่าเสียหาย แม้ไม่มีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร หากมีหลักฐานการครอบครองและสิทธิการเช่าที่ชัดเจน
ป. และจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกรวม 8 คน เข้าหุ้นส่วนทำการขายอาหารในภัตตาคารน.โดยเช่าภัตตาคาร น. มาจากบริษัท น.ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดย ป. กับจำเลยที่2 ที่ 3เป็นผู้เริ่มก่อการในการประชุมตั้งบริษัทโจทก์ครั้งแรกที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาสัญญาเช่าที่ ป. และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้เริ่มก่อการทำไว้กับบริษัท น. เป็นสัญญาเช่าที่ผูกพันบริษัทโจทก์และต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1กับพวกเข้าแย่งดำเนินกิจการภัตตาคาร น. บริษัท น. ก็ได้แจ้งให้บริษัทโจทก์ทราบว่าการบุกรุกและยึดกิจการภัตตาคาร น. เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เท่านั้นไม่เกี่ยวกับบริษัท น. ให้บริษัทโจทก์เข้าดำเนินกิจการภัตตาคารต่อไปดุจเดิม ข้อเท็จจริงเป็นดังนี้ จึงน่าเชื่อว่าบริษัทโจทก์เข้าครอบครองภัตตาคาร น. โดยสวมสิทธิการเช่าจากห้างหุ้นส่วนผู้เช่าเดิมบริษัทโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและเรียกค่าเสียหายได้ แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือสัญญาเช่ากับบริษัท น. ต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลย เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเช่าภัตตาคาร น. แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการขับไล่ลูกหนี้ออกจากที่ดินหลังการขายทอดตลาด รวมถึงการคิดค่าเสียหาย
ลูกหนี้ตามคำพิพากษาขอให้ศาลสั่งเลิกการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดในการบังคับคดี ศาลชั้นต้นยกคำร้องระหว่างอุทธรณ์คำสั่งผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดฟ้องขอให้ขับไล่ลูกหนี้ออกจากที่ดินนั้นไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ผู้ซื้อที่ดินจากศาลขายทอดตลาดในการบังคับคดีฟ้องขอให้บังคับลูกหนี้ออกจากที่ดินแล้วร้องขอให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกจากที่ดินที่ซื้ออีกด้วย ศาลชั้นต้นสั่งให้ลูกหนี้ออกจากที่ดินนั้น ลูกหนี้อุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์สั่งให้ทุเลาการบังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นการให้ทุเลาการบังคับคดีไม่ทำให้ลูกหนี้อยู่ในที่ดินโดยไม่เป็นละเมิดแต่ศาลให้ลูกหนี้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดตั้งแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันที่ผู้ซื้อรับโอนกรรมสิทธิ์
ผู้ซื้อที่ดินจากศาลขายทอดตลาดในการบังคับคดีฟ้องขอให้บังคับลูกหนี้ออกจากที่ดินแล้วร้องขอให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกจากที่ดินที่ซื้ออีกด้วย ศาลชั้นต้นสั่งให้ลูกหนี้ออกจากที่ดินนั้น ลูกหนี้อุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์สั่งให้ทุเลาการบังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นการให้ทุเลาการบังคับคดีไม่ทำให้ลูกหนี้อยู่ในที่ดินโดยไม่เป็นละเมิดแต่ศาลให้ลูกหนี้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดตั้งแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันที่ผู้ซื้อรับโอนกรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ผู้ขายฝากออกจากเรือนหลังขายฝากแล้วไม่ชำระค่าไถ่
ผู้ซื้อฝากฟ้องขับไล่ผู้ขายฝากที่อยู่ในเรือนที่ขายฝากโดยไม่มีสิทธิได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้ออกไปก่อน
ฟ้องขับไล่จากเรือนโดยอ้างว่าจำเลยเช่าจากโจทก์ ได้ความว่าจำเลยไม่ได้เช่า แต่ได้อยู่ในเรือนของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ ศาลพิพากษาขับไล่ได้ไม่นอกฟ้อง
ชั้นอุทธรณ์โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ไม่ได้
จำเลยขายฝากเรือนแก่โจทก์ชำระค่าไถ่เรือนบางส่วนในกำหนดแต่ส่วนที่เหลือจำเลยมิได้ชำระจนเกินกำหนดไถ่คืนเรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เด็ดขาด
ฟ้องขับไล่จากเรือนโดยอ้างว่าจำเลยเช่าจากโจทก์ ได้ความว่าจำเลยไม่ได้เช่า แต่ได้อยู่ในเรือนของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ ศาลพิพากษาขับไล่ได้ไม่นอกฟ้อง
ชั้นอุทธรณ์โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ไม่ได้
จำเลยขายฝากเรือนแก่โจทก์ชำระค่าไถ่เรือนบางส่วนในกำหนดแต่ส่วนที่เหลือจำเลยมิได้ชำระจนเกินกำหนดไถ่คืนเรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เด็ดขาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์หลังศาลมีคำพิพากษาขับไล่ และการรบกวนการครอบครองโดยไม่ชอบ
โจทก์เช่าบ้านของ ส. ภรรยาจำเลยที่1 แล้วต่อมาถูก ส. ฟ้องขับไล่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านนั้น โจทก์ฎีกา และศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับ ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ไปต่างจังหวัดและใส่กุญแจบ้านพิพาทไว้โดยฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านออก และให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ขับไล่โจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นได้มีคำบังคับให้โจทก์ออกจากบ้านพิพาทภายใน 1 เดือน แต่ในวันอ่านคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ไม่ได้มาศาลและไม่ได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้ ทั้งเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่ได้นำส่งคำบังคับไปยังโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 272 โจทก์จึงยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท และย่อมเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุกได้
โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่ ได้ออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปหมดสิ้นแล้วแต่เมื่อยังไม่ส่งมอบบ้านพิพาทคืน โดยได้ใส่กุญแจไว้และฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ ทั้งโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท ดังนี้ ถือว่าโจทก์ครอบครองบ้านพิพาทอยู่โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านและให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัย จึงเป็นการใช้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,84
โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่ ได้ออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปหมดสิ้นแล้วแต่เมื่อยังไม่ส่งมอบบ้านพิพาทคืน โดยได้ใส่กุญแจไว้และฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ ทั้งโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท ดังนี้ ถือว่าโจทก์ครอบครองบ้านพิพาทอยู่โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านและให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัย จึงเป็นการใช้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,84
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2428/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่ของผู้ทรงสิทธิเก็บกินในที่ดินของผู้เยาว์ และผลของการไม่มีคำบอกกล่าวเตือนก่อนฟ้อง
แม้ที่ดินที่อยู่ในบังคับสิทธิเก็บกินจะเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เยาว์ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1407 วรรค 2 บัญญัติให้ผู้ทรงสิทธิเก็บกินมีอำนาจจัดการทรัพย์สิน และการฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินและบ้านพิพาทที่อยู่ในบังคับสิทธิเก็บกินก็เป็นการจัดการทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ดังนี้ ผู้ทรงสิทธิเก็บกินจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้เองโดยมิต้องได้รับอนุญาตจากศาลคดีเด็กและเยาวชนเสียก่อน
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินในขณะยื่นฟ้องย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นเพียงผู้อาศัยได้ แม้โจทก์จะมิได้มีคำบอกกล่าวให้คำเตือนแก่จำเลยก่อนยื่นฟ้องก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ต้องเสียไปแต่อย่างใด
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินในขณะยื่นฟ้องย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นเพียงผู้อาศัยได้ แม้โจทก์จะมิได้มีคำบอกกล่าวให้คำเตือนแก่จำเลยก่อนยื่นฟ้องก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ต้องเสียไปแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
คดีฟ้องขับไล่จากที่ดินและอาคารที่เช่าเดือนละ 300 บาทเรียกค่าเสียหาย 1,180 บาท และต่อไปเดือนละ 1,000 บาท จำเลยต่อสู้ว่าสามีโจทก์ตกลงให้เช่า 20 ปีและชำระค่าก่อสร้าง จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ฉบับที่ 5 พ.ศ.2499 มาตรา 15 ที่ใช้อยู่ในเวลายื่นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456-1459/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าตึกแถว ต่ออายุได้หลายครั้ง ผู้ให้เช่ามิอาจขับไล่
สัญญาให้ปลูกตึกแถวแล้วจดทะเบียนให้เช่า 10 ปี และต่อได้อีกครั้งละ 5 ปี แสดงว่าต่อสัญญาได้อีกกว่า 1 ครั้ง เมื่อได้ต่อให้ 5 ปีแล้วผู้ให้เช่ายังต้องต่อสัญญาให้เช่าอีก จึงขับไล่ผู้เช่าไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีหลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในคดีเดิม
ง. ฟ้อง จ. ว่าที่ดินที่ จ. ขายฝาก ง.หลุดเป็นสิทธิแก่ง. ขอให้ขับไล่ จ. ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่ จ. แล้ว จ. มาฟ้อง ง. ค. ว่าสมคบกันปลอมใบมอบอำนาจขายที่ดินแปลงเดียวกันนั้น ขอให้เพิกถอนการขายฝากดังนี้ เป็นฟ้องซ้ำ