คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความผิดหลายกรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 325 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2941/2565

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานจัดให้มีการพนันและฝ่าฝืนประกาศเกี่ยวกับโรคติดต่อ เป็นคนละกรรมกัน ศาลฎีกายกเลิกโทษจำคุก
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเจ็ดนัดรวมตัวกันเพื่อเล่นการพนันชนไก่ อันเป็นการรวมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกันและเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ ที่ให้ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดที่มีคนแออัดเบียดเสียด เช่น สนามชนไก่ ฯลฯ อันเป็นอำนาจของคณะกรรมการดังกล่าวตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 (1) และโจทก์บรรยายฟ้องอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ที่ให้ปิดสนามชนไก่กับความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่มาคนละข้อต่างหากจากกัน แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นพนันชนไก่ดังกล่าวอันหมายความว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่และที่จำเลยที่ 1 ไม่ปิดสนามชนไก่ก็เพื่อจัดให้มีการเล่นการพนันในสนามชนไก่นั้น แม้ความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกัน และจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพก็ตาม ก็ยังคงเป็นการกระทำความผิดโดยเกิดจากเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันไม่
ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 มิใช่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการเปิดหรือปิดสนามชนไก่ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 เป็นเพียงผู้เข้าร่วมเล่นการพนันชนไก่ แม้จะเป็นการชุมนุมมั่วสุมทำกิจกรรมแต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ ตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องและประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 (1), 52 แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 ให้การรับสารภาพในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่มาด้วย ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 ในความผิดฐานดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2565

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรม: อั้งยี่, สมคบฯ, ฟอกเงิน, ฉ้อโกง, และนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ความผิดฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่เป็นความผิดทันทีเมื่อผู้นั้นได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย และความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรก็เป็นความผิดสำเร็จเมื่อมีการสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งตามองค์ประกอบของความผิดสองฐานนี้ จึงอาจเป็นความผิดต่างกรรมกันได้ แต่เมื่อการกระทำความผิดฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 (1) และ (2) มีองค์ประกอบของความผิดในลักษณะเดียวกันกับความผิดฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่และความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร ความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อปรากฏว่าการเข้าเป็นสมาชิกหรือการสมคบกันนั้นก็เพื่อจะกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ ความผิดฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร และฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันและโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันกับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ ความผิดฐานต่าง ๆ ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน แต่ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินนั้น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มีเจตนารมณ์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดมูลฐานที่ได้นำเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมากระทำการในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นการฟอกเงิน เพื่อนำเงินหรือทรัพย์สินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ในการกระทำความผิดต่อไปได้อีก ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินจึงเป็นการกระทำความผิดที่เกิดภายหลังเมื่อมีการกระทำความผิดฐานอื่น ๆ ดังกล่าวสำเร็จแล้ว และเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกเจตนาและการกระทำต่างจากการกระทำความผิดฐานอื่นนั้นได้ จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างกรรมกัน ซึ่งปัญหาว่าการกระทำความผิดเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2781/2565

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพาอาวุธปืนและมีดเป็นคนละกรรมกัน แม้พาไปพร้อมกัน ก็ต้องลงโทษตามกฎหมายแต่ละบท
การพาอาวุธใด ๆ ไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรจะต้องรับโทษตาม ป.อ. มาตรา 371 แต่หากเป็นการพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือโดยไม่มีเหตุสมควรแล้ว ย่อมจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง และมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง อีกบทหนึ่ง ซึ่งมีโทษหนักกว่าการพาอาวุธทั่ว ๆ ไป ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า กฎหมายบัญญัติความผิดและบทลงโทษแยกไว้สำหรับกรณีพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรเป็นอีกความผิดหนึ่ง ทั้งวัตถุของกลางเป็นคนละประเภทกัน แสดงว่าเจตนาในการพาไปย่อมแตกต่างกัน และความผิดแต่ละประเภทย่อมสำเร็จแล้วนับตั้งแต่การพาเข้าไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ แม้จำเลยจะพาอาวุธปืนและอาวุธมีดไปในเวลาเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2565

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรม: การยิงและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายหลายราย มีเจตนาต่างกันในแต่ละกรรม
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยบรรยายฟ้องข้อ 1 (ค) ว่าจำเลยโดยมีเจตนาฆ่าใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่มีและพาติดตัวไปตามฟ้องข้อ (ก) และ (ข) ยิง น. ผู้เสียหายจำนวน 2 นัด ถูกข้อเท้าและหน้าอก และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิง ต. ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 1 นัด ถูกที่ลำคอ แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวตีทำร้าย จ. ผู้เสียหายที่ 3 ที่ศีรษะหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 3 ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยลงมือกระทำความผิดต่อผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 แล้วแต่ไม่บรรลุผล เนื่องจากแพทย์รักษาไว้ได้ทัน ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ถึงแก่ความตาย แต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน กับผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 (ค) รวมกันมาก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องแยกข้อเท็จจริงที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคน ในลักษณะที่เข้าใจได้ว่า จำเลยกระทำแต่ละครั้งมีจุดประสงค์ต่อผู้เสียหายเป็นคน ๆ ไป อันเป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกันในแต่ละครั้ง ทั้งโจทก์ได้บรรยายฟ้องในตอนแรกแล้วว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 91 ก็เป็นการเพียงพอให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในแต่ละข้อหาแยกกรรมต่างหากจากกัน ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบประกอบคำรับสารภาพ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 2 นั้น ผู้เสียหายที่ 1 มิได้อยู่ในสถานที่เดียวกับผู้เสียหายที่ 2 และตอนที่จำเลยใช้อาวุธตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 เกิดหลังจากที่ยิงผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ไปแล้ว แม้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน แต่แยกเจตนาของจำเลยที่กระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนได้การกระทำเป็นความผิดสำเร็จต่างหากจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกัน: ดำเนินสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, และปลอมแปลงเอกสาร
ความผิดฐานดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง กฎหมายมุ่งประสงค์ลงโทษผู้ดำเนินการที่ทำหน้าที่ควบคุม ดูแล และรับผิดชอบในการดำเนินการสถานที่ซึ่งจัดไว้เพื่อการประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม หากมีการดำเนินการดังกล่าวโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขึ้นเมื่อใด ย่อมเป็นความผิดสำเร็จทันที ส่วนความผิดฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมในการตรวจโรค วินิจฉัยโรค บำบัดโรค ป้องกันโรค และอื่น ๆ ที่กระทำต่อมนุษย์ โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง กฎหมายมุ่งคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชนให้ปลอดภัยจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรมดังกล่าวที่ไม่ได้มาตรฐาน การกระทำความผิดแต่ละข้อหาจึงมีการกระทำและเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกัน เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์และปลอมแปลงเอกสารเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และไม่สมควรรอการลงโทษ
ภายหลังลักรถบรรทุกของโจทก์ร่วมทั้งสามสำเร็จแล้ว พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเพื่อโอนกรรมสิทธิ์รถบรรทุกบางคันมาเป็นชื่อจำเลย บางคันมาเป็นชื่อบริษัทที่จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และบางคันเป็นชื่อบุคคลภายนอก เป็นการกระทำเพื่อมุ่งใช้สอยหรือหาประโยชน์จากรถบรรทุกแต่ละคันที่ลักมา มิใช่เป็นการกระทำที่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งรถบรรทุกแต่ละคัน ความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์กับความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาโดยไม่ได้รับอนุญาต และจัดการศึกษาโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ตามมาตรา 5 และมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 สถานศึกษาของเอกชนที่จัดตั้งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การศึกษาในระดับปริญญา ทำการสอน การวิจัยและการอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 8 แม้จะยังไม่มีการเรียนการสอน สถานศึกษาเอกชนนั้นย่อมมีสถานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว และจากบทบัญญัติของมาตรา 9 มหาวิทยาลัยจึงเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนประเภทหนึ่งที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในด้านวิชาการและวิชาชีพชั้นสูงหลายสาขาวิชา เพื่อให้ประกาศนียบัตร อนุปริญญา หรือปริญญาแก่ผู้สำเร็จการศึกษาในหลายระดับรวมถึง ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมทั้งการทำการวิจัยและให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ดังนั้น การจัดตั้งมหาวิทยาลัยจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 10 คือ จะต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และแม้มหาวิทยาลัย ป. ยังไม่มีการเรียนการสอน แต่จากข้อมูลในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยระบุชัดว่า มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมด้านการศึกษา ภาษา วัฒนธรรม การกีฬา และสาธารณสุข ทั้งยังมีข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษา เช่น หัวข้อเกี่ยวกับนักศึกษาใหม่ หลักสูตรการเรียนการสอน และคณาจารย์ไว้ชัดแจ้ง แสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัย ป. จัดตั้งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายในการจัดการศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ มหาวิทยาลัย ป. จึงมีสถานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามความในมาตรา 8 และ 9 ของ พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดตั้งมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมกับนำข้อมูลต่าง ๆ ลงในเว็บไซต์ จัดให้มีพิธีสถาปนาคณาจารย์ นักวิชาการ คณะทำงานของมหาวิทยาลัย ป. และมอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้กับบุคคลต่าง ๆ อันเป็นการแสดงออกให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นหลงเชื่อว่ามหาวิทยาลัย ป. มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับปริญญา การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันจัดการศึกษาระดับปริญญาโดยไม่ได้รับอนุญาต
การบรรยายฟ้องของโจทก์สามารถแยกเจตนาของจำเลยทั้งสองในการกระทำความผิดตามฟ้องแต่ละข้อได้อย่างชัดเจน การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองตามฟ้องข้อ 1.1 ฐานร่วมกันจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และข้อ 1.2 ฐานร่วมกันจัดการศึกษาระดับปริญญาโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
แม้คดีทั้งสองดังกล่าวโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 โดยกล่าวหาว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและร่วมกันจัดการศึกษาโดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำด้วยประการใด ๆ ให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าตนมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับปริญญาเช่นเดียวกับคดีนี้ แต่ทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนชื่อมหาวิทยาลัย ส. และมหาวิทยาลัย ส. 2 ซึ่งเป็นคนละมหาวิทยาลัยกับคดีนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับทั้งสองคดีดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์หลายฉบับ ถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
บัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม ซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร แต่ละใบมีข้อมูลในบัตรของผู้ถือบัตรต่างรายกันและต่างหมายเลขกัน กับออกโดยต่างธนาคารกัน ทั้งโดยสภาพของการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้บัตรดังกล่าวต้องปลอมทีละใบและใช้แต่ละใบแยกต่างหากจากกัน ดังนี้ จำเลยจึงไม่ได้มีเจตนาเดียวในการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรนั้น แต่มีเจตนาปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรดังกล่าวแต่ละฉบับ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
บัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร บัตรดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายของคำว่า เอกสารและเอกสารสิทธิ แห่ง ป.อ. มาตรา 1 (7) และ (9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1151-1153/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์โดยการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์, ยักยอกทรัพย์, และการใช้บัตรโดยมิชอบ, ความผิดหลายกรรมต่างกัน
การใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ 26 ครั้ง แม้มีความมุ่งหมายเดียวคือเพื่อลักเอาเงินของโจทก์ร่วมไปจากบัญชี แต่เนื่องจากเงินในบัญชีมีจำนวนมาก ไม่อาจลักเอาไปเสียทีเดียวในครั้งเดียวได้ และการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ 26 ครั้ง ได้กระทำต่างวันต่างเวลาและต่างสถานที่กัน มิได้กระทำต่อเนื่องกัน ทั้งยังมีโอกาสที่จะยับยั้งในแต่ละครั้งได้ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชนและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การพิสูจน์การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน และการลดโทษรอการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จผ่านทางโปรแกรมเฟซบุ๊กตามฟ้อง เสนอขายสินค้าซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่มีเจตนาขายสินค้าดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าสินค้าให้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องกล่าวหาด้วยว่าเป็นการหลอกลวงเสนอขายสินค้าต่อประชาชนอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 และไม่ได้บรรยายว่าการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ส่วนบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้อง โจทก์ก็ไม่บรรยายว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดเป็นสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ อันจะถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน และการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน โจทก์จึงบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 343 และปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหานี้มา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จอันเป็นการกระทำต่อบุคคลใดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้
การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ไม่ได้บัญญัติว่าการกระทำหลายกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในวาระเดียวกันไม่ได้ การกระทำในวันและเวลาเดียวกันหรือต่อเนื่องในคราวเดียวกันก็อาจจะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโดยการส่งข้อความเสนอขายสินค้าให้แก่ผู้เสียหายผ่านทางบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้องรวม 2 ครั้ง และผู้เสียหายซื้อสินค้าต่างชนิดกัน 2 ครั้ง เป็นการหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อให้ได้เงินจากผู้เสียหายในการซื้อสินค้าต่างชนิดกันรวม 2 ครั้ง จึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน
of 33