คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ซื้อขาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3963/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ทำตามแบบและอายุความครอบครองปรปักษ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้ในคดีล้มละลาย โดยอ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์มาตามสัญญาซื้อขาย และผู้ร้องได้ครอบครองเป็นเจ้าของโดยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาเกิน 10 ปี ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความแล้วนั้นเมื่อการซื้อขายมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456วรรคแรก และเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องเพิ่งมีสภาพเป็นนิติบุคคลนับถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังไม่ถึง10 ปี ทั้งไม่มีเวลาครอบครองทรัพย์ของผู้โอนที่จะนับรวมกับผู้ร้องได้ ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายดังนั้นผู้ร้องจึงขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีซื้อขาย: จำเลยให้การชัดเจนว่าขาดอายุความ สิทธิเรียกร้องมีกำหนด 2 ปี หากซื้อเครื่องอะไหล่ไม่ใช่เพื่ออุตสาหกรรม
โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาซื้อขายข้อหาเดียว จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เป็นคำให้การชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อขายทั้งหมดตามฟ้องขาดอายุความแล้ว ประเด็นข้อกฎหมายนั้น คู่ความเพียงแต่ยกขึ้นอ้างเป็นที่เข้าใจในข้อหาใด เรื่องใดก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ถ้าข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ข้อกฎหมายนั้นยังไม่เพียงพอก็จำเป็นต้องอ้างข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการนั้นโดยชัดแจ้ง จึงจะเป็นประเด็นที่จะมีสิทธินำสืบต่อไปได้ โจทก์เป็นพ่อค้า จำเลยประกอบอาชีพรับจ้างเคาะพ่นสี ปะผุรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำเลยซื้อเชื่อเครื่องอะไหล่จากโจทก์แม้จะนำมาเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถหรือขาย ก็ไม่ถือว่าทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายลูกหนี้ สิทธิเรียกร้องนี้จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 165(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีซื้อขาย: จำเลยให้การขาดอายุความชัดเจน ถือเป็นประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย
ประเด็นข้อกฎหมายนั้นคู่ความเพียงแต่ยกขึ้นอ้างเป็นที่เข้าใจในข้อหาใดเรื่องใดก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ถ้าข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ข้อกฎหมายนั้นยังไม่เพียงพอ ก็จำเป็นต้องอ้างข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการนั้นโดยชัดแจ้ง จึงจะเป็นประเด็นที่ฝ่ายตนจะมีสิทธินำสืบต่อไปได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาซื้อขายข้อหาเดียว จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เป็นคำให้การชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อขายทั้งหมดขาดอายุความแล้วชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นพ่อค้า จำเลยประกอบอาชีพรับจ้างเคาะ พ่นสี ปะ ผุรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สินค้าที่จำเลยซื้อจากโจทก์เป็นเครื่องอะไหล่ทั้งนั้น แม้จะนำมาใช้เปลี่ยนชิ้นส่วนของรถหรือขายก็ไม่ถือว่าเป็นการที่ได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายลูกหนี้ตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)สิทธิเรียกร้องจึงมีกำหนดอายุความสองปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คอนกรีตผสมเสร็จ: ลักษณะสัญญาเป็นซื้อขาย ไม่ใช่รับจ้างทำของ
ป.รัษฎากรมิได้กำหนดความหมายของคำว่าการรับจ้างทำของไว้จึงต้องพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. เรื่องลักษณะจ้างทำของซึ่งงานที่ทำนั้นต้องเป็นของผู้ว่าจ้าง แต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าการสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จ ลูกค้าจะสั่งตามคุณสมบัติในรายการที่โจทก์แจ้งให้ลูกค้าทราบ เมื่อลูกค้าสั่งมาโจทก์ก็ดำเนินการผสมคอนกรีตผสมเสร็จไปเทเข้าในแบบที่ทำการก่อสร้าง อันเป็นงานที่กำหนดเท่านั้น งานส่วนนี้จึงยังเป็นของโจทก์ไม่ใช่งานของลูกค้าผู้สั่งซื้อคอนกรีตสำหรับการนำคอนกรีตที่โจทก์ผสมเสร็จแล้วไปเทตามแบบที่ต้องการซึ่งเป็นงานของลูกค้าผู้สั่งซื้อคอนกรีตนั้น โจทก์ก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในงานส่วนนี้ด้วยนอกจากนี้ตั้งแต่เริ่มการผสมคอนกรีตเสร็จจนถึงเวลาที่โจทก์นำคอนกรีตผสมเสร็จไปส่งให้ลูกค้าตามสั่งนั้น ลูกค้าผู้สั่งไม่มีอำนาจที่จะไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของโจทก์ที่พอจะถือว่าลูกค้าผู้สั่งนั้นเป็นผู้ว่าจ้างซึ่งมีอำนาจตรวจตราการงานได้ตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 592 จึงถือไม่ได้ว่าลูกค้าเป็นผู้ว่าจ้างตามลักษณะการจ้างทำของ การประกอบการของโจทก์เกี่ยวกับคอนกรีตผสมเสร็จ จึงเป็นการผลิตเพื่อขายอันเป็นการประกอบการค้าประเภท 1 การขายของ มิใช่การรับจ้างทำของอันเป็นประเภทการค้า 4.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ราคาศุลกากร: การประเมินราคาซื้อขายที่ไม่เป็นราคาแท้จริงเมื่อมีราคาซื้อขายที่แตกต่างกัน
ราคาสินค้าที่เจ้าพนักงานประเมินถือตามเป็นราคาที่ผู้นำเข้าได้นำเข้าก่อนโจทก์ไม่นานนัก และบางรายก็ปรากฏว่าได้นำเข้าหลังโจทก์เพียง 1 วัน เป็นการที่เจ้าพนักงานประเมินได้ปฏิบัติตามคำสั่งเฉพาะของกรมศุลกากรที่ 14/2524 และคำสั่งทั่วไปของกรมศุลกากรที่ 8/2530ซึ่งแม้คำสั่งดังกล่าวจะมิใช่กฎหมาย แต่ก็แสดงว่าเป็นการปฏิบัติที่มีแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรมและกระทำโดยสุจริต เมื่อราคาที่นำเข้ามาก่อนกลับสูงกว่าที่โจทก์นำเข้า จึงมีเหตุให้น่าสงสัยว่า ราคาที่ซื้อมาอาจมิใช่ราคาอันแท้จริง หากราคาที่โจทก์ซื้อต่ำกว่าราคาที่บริษัทอื่นซื้อเพราะโจทก์เป็นลูกค้าประจำและโจทก์สั่งเข้ามาเป็นจำนวนมากหรือเพราะบริษัทผู้ขายย่อมขายให้ลูกค้าแต่ละรายแตกต่างกัน ก็ย่อมแสดงว่าราคาที่โจทก์ซื้อเป็นราคาที่ได้หักทอนหรือลดหย่อน ซึ่งเมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการลดหย่อนทั่ว ๆ ไป การลดหย่อนดังกล่าวจึงเป็นการลดหย่อนกรณีพิเศษเฉพาะราย ซึ่งตามพระราชบัญญัติ-ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 2 จะถือเอามาเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2382/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายกล่องกระดาษ: พิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์เพื่อแยกแยะจากการจ้างทำของ
การซื้อขายและจ้างทำของต่างกันที่การซื้อขายมุ่งถึงการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ส่วนการจ้างทำของมุ่งถึงการงานที่ทำและผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ ในเรื่องจ้างทำของตาม ป.พ.พ.มาตรา 592 จึงกำหนดหน้าที่ของผู้รับจ้างไว้อีกประการหนึ่งว่าผู้รับจ้างต้องยอมให้ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนของผู้ว่าจ้างตรวจตราการงานได้ตลอดเวลาที่ทำอยู่นั้น แต่บางกรณีผลสำเร็จของงานที่ทำอาจเป็นทรัพย์ สิ่งของ เช่นสินค้า และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างโดยวัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ในการทำเป็นของผู้รับจ้างก็ได้ การจ้างทำของในกรณีนี้จึงคล้ายคลึงกับการซื้อขาย การพิจารณาว่า กรณีใดเป็นการซื้อขายหรือจ้างทำของ จึงต้องดูจากเจตนาและพฤติการณ์ของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกัน นอกจากนี้ยังจะต้องพิจารณาว่าสัมภาระ หรือวัสดุที่ใช้ทำเป็นสินค้ากับการงานที่รับทำจนสำเร็จนั้น สิ่งใดสำคัญกว่ากัน ถ้าการงานที่รับทำจนสำเร็จสำคัญกว่าสัมภาระก็เป็นจ้างทำของ ถ้าไม่สำคัญกว่าก็เป็นซื้อขาย กล่องกระดาษที่โจทก์ทำขึ้นมานั้น ใช้สำหรับบรรจุสินค้าต่าง ๆของลูกค้าของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรม สิ่งที่ลูกค้าของโจทก์ต้องการคือคุณภาพของกล่องกระดาษซึ่งจะต้องมีความเหนียวทนทาน และรับน้ำหนักสินค้าที่บรรจุได้เป็นสำคัญ เพื่อมิให้สินค้าที่บรรจุอยู่ภายในเสียหาย แม้ขนาดของกล่องตรา และข้อความที่พิมพ์ลงบนกล่องจะแตกต่างกันออกไปตามความต้องการของลูกค้า แต่กล่องทุกใบก็มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ติดอยู่ ทั้งลูกค้าก็จะต้องสั่งซื้อกล่องกระดาษตามตัวอย่างที่โจทก์ทำส่งไปให้เลือก ขนาดของกล่องและข้อความดังกล่าวจึงเป็นเพียงส่วนประกอบเพื่อให้เหมาะสมแก่การบรรจุสินค้าต่าง ๆ ของลูกค้าเท่านั้น หามีความสำคัญไปกว่าวัสดุที่ใช้ในการผลิตกล่องกระดาษไม่ และหลังจากสั่งซื้อกล่องตามขนาด ชนิด และข้อความที่ต้องการแล้ว ลูกค้าของโจทก์ไม่มีอำนาจที่จะเข้าตรวจตราการทำงานของโจทก์ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับลูกค้า จึงมิใช่อยู่ในฐานะของผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้าง แต่เป็นการประกอบการค้าโดยการทำกล่องกระดาษขายให้แก่ลูกค้าตามคุณภาพที่ลูกค้าต้องการ ในการทำกล่องกระดาษนั้น โจทก์จะนำกระดาษคราฟท์ป้อนเข้าเครื่องจักรแล้วเครื่องจักรก็จะทำงานตามขั้นตอนจนสำเร็จออกมาเป็นส่วนที่จะใช้เป็นกล่องซึ่งเป็นตัวสินค้า จึงเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้า อันอยู่ในความหมายของคำว่า"ผลิต" ตามบทวิเคราะห์ศัพท์ในมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากรและเมื่อผลิตออกมาเป็นกล่องแล้วก็จะส่งให้ลูกค้าตามที่สั่งโดยคิดราคาตามที่ตกลงกัน อันเป็นการขายตามความหมายที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้ ดังนั้น การประกอบการค้ากล่องกระดาษของโจทก์จึงเป็นการประกอบการค้าประเภทการค้า 1 การขายของ ชนิด 1(ก) มิใช่เป็นการรับจ้างทำของอันจะต้องเสียภาษีตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท 4 ชนิด 1(ฉ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในบุหรี่: สัญญาตัวแทนจำหน่ายกับการซื้อมาเพื่อตนเอง
สัญญาข้อ 1 มีข้อความว่า จำเลยยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิและอำนาจทำการสั่งซื้อและจำหน่ายบุหรี่แก่สมาชิกแทนจำเลยโดยผู้ร้องต้องเสียค่าตอบแทนแก่จำเลยงวดละ 1,000 บาท และข้อ 2ระบุว่า จำเลยยอมให้ผู้ร้องใช้สถานที่ของจำเลยเป็นที่พักบุหรี่และจำหน่ายแก่ผู้ซื้อ แสดงว่าจำเลยยอมให้ผู้ร้องใช้สิทธิของจำเลยในฐานะตัวแทนจำหน่ายบุหรี่ของโรงงานยาสูบมาเป็นผู้สั่งซื้อและจำหน่ายเสียเอง จำเลยคงได้รับค่าตอบแทนในการยอมให้ใช้สิทธินั้นเป็นเงินงวดละ 1,000 บาท ผู้ร้องอาศัยสิทธิของจำเลยสั่งซื้อบุหรี่มาเป็นของตนเองมิใช่สั่งซื้อแทนจำเลย บุหรี่จึงเป็นของผู้ร้องมิใช่ของจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1928/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร – สุจริต – ไม่รู้ว่าเป็นของชำรุด – ไม่ต้องคืนของ
จำเลยรับซื้อสินค้าไว้โดยไม่มีพฤติการณ์ใดส่อให้เห็นว่าเป็นการรับซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่ ร. ฉ้อโกงมาจากโจทก์ร่วม เป็นการซื้อไว้โดยสุจริตย่อมไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร การที่จำเลยรับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จาก ร.พนักงานขายของโจทก์ร่วมถือได้ว่าเป็นการซื้อสินค้าไว้จาก ร.ผู้ขายสินค้าชนิดนั้น เมื่อจำเลยซื้อมาโดยสุจริตและไม่ปรากฎว่าโจทก์ร่วมเสนอชดใช้ราคาให้ จำเลยจึงไม่จำต้องคืนสินค้าของกลางหรือชดใช้ราคาสินค้านั้นให้แก่โจทก์ร่วม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1698/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรส: การโอนมรดกและการซื้อขายทรัพย์สินระหว่างสมรส ไม่ถือเป็นสินส่วนตัว
ตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินระบุว่าผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่ ตั้งบ้านพิพาทในฐานะผู้จัดการมรดกของ ท. ผู้ตาย แสดงว่าผู้ร้องไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทเป็นส่วนตัว กรณี ดังกล่าวยังไม่อาจถือได้ว่าผู้ร้องได้ที่ดินและบ้านพิพาทมาระหว่าง สมรสโดยการรับมรดกจากมารดาของตน ต่อมาผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดก ได้ขายที่ดินให้อ.เสร็จเด็ดขาดไปแล้วหลังจากนั้นอ. นำที่ดินไปแบ่งแยกขายให้แก่บุคคลภายนอก และโอนขายที่ดินที่เหลือ พร้อมบ้านพิพาทให้ผู้ร้อง เมื่อไม่ปรากฎว่าผู้ร้องนำเงินสินส่วนตัว ไปซื้อที่ดินและบ้านพิพาทคืนมาจึงฟังไม่ได้ว่าที่ดินและบ้านพิพาท เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง แต่เป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตาม คำพิพากษาของจำเลยจึงมีสิทธินำ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมา ชำระหนี้แก่โจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมยอมเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้: การซื้อขายรถยนต์หลังถูกดำเนินคดีอาญาเพื่อป้องกันทรัพย์สิน
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้อง ดังนี้เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 เพิ่งจะหย่ากับ ส. ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้ เพียง 18 วัน ในวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ จำเลยที่ 2 กับ ส. ก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ที่จดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันเพราะถูกโจทก์เร่งรัดชำระหนี้ ผู้ร้องซึ่งเป็นน้องของ ส. กับจำเลยที่ 1รับซื้อรถยนต์ที่โจทก์นำยึดนี้ไว้ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เพียง 6 วันและหลังจากทราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้แล้ว ทั้งโจทก์ก็นำยึดรถยนต์พิพาทได้ในขณะอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 รูปคดีเชื่อ ได้ว่า ผู้ร้องรับซื้อรถยนต์พิพาทไว้โดยไม่สุจริต รถยนต์ยังเป็นของจำเลยที่ 2.
of 104