คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประมวลกฎหมายอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 752 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดยักยอกเงินค่าธรรมเนียมของเจ้าพนักงานไปรษณีย์ การลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา และการพิจารณาความผิดหลายกรรม
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งนายไปรษณีย์โทรเลขอำเภอฝางและเป็นพนักงานของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้รับเอาเงินค่าธรรมเนียมฝากส่งจดหมายแต่ละวันเป็นเวลา 7 วัน รวม 7 ครั้งไว้โดยมิได้ปิดตราไปรษณียากรที่ซองจดหมายหรือมิได้จ่ายตราไปรษณียากรให้ผู้ฝากปิดเองตามระเบียบ แล้วเบียดบังเงินค่าธรรมเนียมและกักจดหมายดังกล่าวแต่ละวันไว้ เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินดังกล่าวแต่ละครั้งแต่ละวันไปอันเป็นความผิดหลายกรรมรวม 7 กรรม
เมื่อพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 มาตรา 15 บัญญัติให้พนักงานของการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จะปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 หาได้ไม่ และเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา147 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2099/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจโดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานจริง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145
จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แต่แต่งกายดังที่เจ้าพนักงานตำรวจนอกเครื่องแบบแต่งกันตามปกติ โดยนุ่งกางเกงสีกากี สวมเสื้อคอกลมขาว คาดเข็มขัดหนังยืนให้สัญญาณรถยนต์บรรทุกที่ผ่านไปมาให้หยุดรถเพื่อตรวจตรงจุดที่รถยนต์ตำรวจทางหลวงจอดอยู่เป็นประจำ อันทำให้บุคคลทั่วไปอาจเข้าใจได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ในการเรียกตรวจรถแต่ละครั้งจำเลยแสดงให้เป็นที่เข้าใจได้ว่าได้รับเงินจากพวกคนขับรถยนต์บรรทุกพฤติการณ์ของจำเลยฟังได้ว่า จำเลยแสดงตนและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจทางหลวงจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2075/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295
จำเลยทำร้ายผู้เสียหาย ปรากฏบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลคือ ริมฝีปากบนช้ำบวม แก้มข้างซ้ายบวมปวด ข้อเท้าซ้ายเคล็ดปวด คอด้านหลังปวดเวลาก้มเงย และปวดกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก รักษาประมาณ 5 วัน นับได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2075/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดบาดแผลทางกาย ถือเป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295
จำเลยทำร้ายผู้เสียหาย ปรากฏบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลคือ ริมฝีปากบนช้ำบวมแก้มข้างซ้ายบวมปวด ข้อเท้าซ้ายเคล็ดปวดคอด้านหลังปวดเวลาก้มเงยและปวดกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก รักษาประมาณ 5 วัน นับได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1895/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกรวมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และอำนาจศาลฎีกาในการพิจารณาแม้จำเลยไม่ได้ฎีกา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 แก้ไขมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญาในเรื่องรวมโทษทุกกระทง ซึ่งตามมาตรา 91(3) ที่แก้ไขใหม่ได้บัญญัติไว้ว่า สำหรับความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปี ขึ้นไป เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50 ปี และโดยที่ความผิดกระทงที่หนักที่สุดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 คือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ซึ่งมีอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ประหารชีวิต กรณีจึงต้องด้วยมาตรา91(3) เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วจะลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1ที่ 2 ได้ไม่เกิน 50 ปี ดังนั้น จึงต้องใช้กฎหมายใหม่ดังกล่าวซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือผู้เสียหายเรียกค่าไถ่โดยสุจริต ไม่ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315
จำเลยที่ 2 ติดต่อคนร้ายเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายซึ่งถูกจับไปเรียกค่าไถ่โดยสุจริต ไม่มีพฤติการณ์ใดส่อไปในทำนองว่ามีส่วนได้เสียหรือร่วมรู้เห็นเป็นใจกับคนร้าย ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่คนละจังหวัด การเดินทางไปติดต่อคนร้ายก็ดี ติดต่อผู้เสียหายก็ดี ย่อมต้องเสียค่าใช้จ่าย การที่ผู้เสียหายมอบเงินจำนวนหนึ่งให้จำเลยเป็นค่าใช้จ่าย เงินดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มิควรได้ตามความหมายของมาตรา 315 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้กลางช่วยเหลือเรียกค่าไถ่โดยสุจริต ไม่ใช่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315
จำเลยที่ 2 ติดต่อคนร้ายเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายซึ่งถูกจับไปเรียก ค่าไถ่โดยสุจริต ไม่มีพฤติการณ์ใดส่อไปในทำนองว่ามีส่วนได้เสียหรือ ร่วมรู้เห็นเป็นใจกับคนร้าย ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่คนละจังหวัด การเดินทางไปติดต่อคนร้ายก็ดี ติดต่อผู้เสียหายก็ดีย่อมต้องเสียค่าใช้จ่าย การที่ผู้เสียหายมอบเงินจำนวนหนึ่งให้จำเลยเป็นค่าใช้จ่ายเงินดังกล่าว จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มิควรได้ตามความหมายของมาตรา 315 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 770/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิสัปบุรุษมัสยิดในการป้องกันผลประโยชน์และการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)
สัปบุรุษของมัสยิดเป็นผู้ที่มีสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของมัสยิดที่ตนสังกัดอยู่ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ชอบที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่มัสยิด ดังนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นสัปบุรุษของมัสยิดแสดงความคิดเห็นหรือร้องเรียนให้ข่าวต่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ถ้าผู้แสดงความคิดเห็นกระทำไปโดยสุจริต แม้จะเป็นการเข้าใจผิด แต่ก็เชื่อว่าความจริงเป็นดังที่ตนเข้าใจแล้ว ก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้จำเลยหาจำต้องนำสืบว่าการกระทำของตนเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องรับโทษ เพราะในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจึงจะลงโทษจำเลยได้ ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริตหรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์นำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตแล้ว ศาลก็ยกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางในความผิดพ.ร.บ.ควบคุมสินค้าตามชายแดน ต้องพิจารณาความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ความผิดฐานมีสินค้าควบคุมไว้ในความครอบครองเกินจำนวนหรือปริมาณที่กำหนด และนำเข้ามาในเขตควบคุมนั้น เกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้อำนวยการหรือผู้ซึ่งผู้อำนวยการมอบหมายเท่านั้น สินค้ากับรถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินมีไว้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา32 หรือเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือที่ได้มาโดยการกระทำผิดซึ่งศาลจะพึงมีอำนาจสั่งให้ริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางในความผิด พ.ร.บ.ควบคุมสินค้าตามชายแดน: สินค้าไม่ใช่ทรัพย์สินที่ต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา
ความผิดฐานมีสินค้าควบคุมไว้ในความครอบครองเกินจำนวนหรือปริมาณที่กำหนด และนำเข้ามาในเขตควบคุมนั้นเกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้อำนวยการหรือผู้ซึ่งผู้อำนวยการมอบหมายเท่านั้น สินค้ากับรถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินมีไว้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา32 หรือเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือที่ได้มาโดยการกระทำผิดซึ่งศาลจะพึงมีอำนาจสั่งให้ริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
of 76