พบผลลัพธ์ทั้งหมด 519 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย: ประมาทเลินเล่อของผู้เอาประกันภัย vs. บุคคลอื่น
ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 บัญญัติว่าผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัยหรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์นั้น เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่าหมายถึงความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์เองเท่านั้น ไม่หมายรวมถึง ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของลูกจ้างผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: จำเลยต้องสอบสวนและพิสูจน์ความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างก่อนเลิกจ้าง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตามระเบียบของจำเลย โจทก์ที่ 1 มีหน้าที่สอบถามผู้ที่ขอใช้กุญแจกลางว่าเป็นผู้เช่าที่มาพักจริงหรือไม่ การที่โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ว่าตนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบว่าผู้ที่ขอกุญแจกลางเป็นผู้เช่า จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54
จำเลยต่อสู้เรื่องความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นประเด็นไว้ในคำให้การแล้วแม้จำเลยจะนำสืบไม่ชัดแจ้งว่าได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม เมื่อทรัพย์สินของผู้ที่มาพักในโรงแรมสูญหายไปเพราะความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของโรงแรม จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยย่อมได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง
เมื่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยมิได้กำหนดไว้ในเรื่องการสอบสวนว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยเรียกโจทก์ทั้งสองมาสอบถามและให้เขียนรายงานกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือได้ว่ามีการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วเมื่อได้ความว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 1 ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรง การที่จำเลยให้โจทก์ที่ 1 ออกจากงานจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ศาลฎีกาสั่งให้รับฟ้องโจทก์ข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมเพราะจำเลยมิได้สอบสวนตามระเบียบเมื่อได้ความว่าจำเลยได้สอบสวนตามระเบียบแล้วแต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงเป็นกรณีจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 โดยไม่มีความผิดและเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 2 และศาลแรงงานกลางมีอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 49 ที่จะกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยใช้แก่โจทก์ที่ 2 ได้
จำเลยต่อสู้เรื่องความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นประเด็นไว้ในคำให้การแล้วแม้จำเลยจะนำสืบไม่ชัดแจ้งว่าได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม เมื่อทรัพย์สินของผู้ที่มาพักในโรงแรมสูญหายไปเพราะความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของโรงแรม จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยย่อมได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง
เมื่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยมิได้กำหนดไว้ในเรื่องการสอบสวนว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยเรียกโจทก์ทั้งสองมาสอบถามและให้เขียนรายงานกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือได้ว่ามีการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วเมื่อได้ความว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 1 ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรง การที่จำเลยให้โจทก์ที่ 1 ออกจากงานจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ศาลฎีกาสั่งให้รับฟ้องโจทก์ข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมเพราะจำเลยมิได้สอบสวนตามระเบียบเมื่อได้ความว่าจำเลยได้สอบสวนตามระเบียบแล้วแต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงเป็นกรณีจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 โดยไม่มีความผิดและเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 2 และศาลแรงงานกลางมีอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 49 ที่จะกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยใช้แก่โจทก์ที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231-3233/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในการจัดซื้อที่ดิน – ประมาทเลินเล่อและผลประโยชน์ทับซ้อน
การที่คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินให้ทางราชการว่า 'การจัดซื้อควรติดต่อโดยตรงกับเจ้าของที่ดินด้วย' นั้น คำว่า 'ควร' ไม่ได้หมายความว่า ผู้มีหน้าที่จัดซื้อที่ดินไม่จำต้องติดต่อโดยตรงกับเจ้าของที่ดินทุกรายเสมอไป เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดซื้อที่ดินย่อมต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันรักษาประโยชน์ของรัฐมิให้เกิดเสียหาย เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ในการเป็นนายหน้าเสนอขายที่ดินให้แก่ทางราชการ โดยที่ตนเองมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
แม้จำเลยจะถูกฟ้องในคดีอาญาข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินโดยมิชอบและทุจริต และมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีส่วนอาญาให้ยกฟ้องแล้วก็ ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องเป็นคดีแพ่งให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจึงเป็นข้อเท็จจริงคนละประเด็นต่างหากจากคดีอาญา ศาลมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำโดยประมาทนั้นได้ ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
แม้จำเลยจะถูกฟ้องในคดีอาญาข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินโดยมิชอบและทุจริต และมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีส่วนอาญาให้ยกฟ้องแล้วก็ ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องเป็นคดีแพ่งให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจึงเป็นข้อเท็จจริงคนละประเด็นต่างหากจากคดีอาญา ศาลมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำโดยประมาทนั้นได้ ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2925/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทเลินเล่อในการก่อสร้าง - ผู้รับจ้างต้องระมัดระวังทรัพย์สินผู้อื่น - การกระทำโดยประมาททำให้เกิดความเสียหาย
ห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการ ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างท่อระบายน้ำริมถนนกับเทศบาล โดยมีรายการและรูปแบบแนบท้ายสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย การที่จำเลยที่ 1ทราบอยู่แล้วขณะทำสัญญา และมีหน้าที่ต้องระมัดระวังไม่ขุดลึกลงไปถึงท่อวางสายเคเบิ้ลขององค์การโทรศัพท์ฯโจทก์ แต่กลับสั่งให้คนงานขุดไปตามแบบแปลนโดยให้อยู่ในความควบคุมของนายช่างเทศบาลคู่สัญญา จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังและมิใช่เป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าซ่อมแซมสายเคเบิ้ลของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2492/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย โดยอาศัยระเบียบข้อบังคับเดิมที่ใช้บังคับ ณ วันเกิดเหตุ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยอำนาจตามระเบียบของจำเลยเนื่องจากโจทก์ขับรถจำเลยชนกับรถผู้อื่นโจทก์เห็นว่าคำสั่งและระเบียบของจำเลยดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำเลยให้การต่อสู้ว่าระเบียบและคำสั่งของจำเลยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว เป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นจึงมีว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่
โจทก์ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุก่อนที่ระเบียบฉบับใหม่ของจำเลยจะใช้บังคับระเบียบฉบับใหม่จึงไม่มีผลบังคับสำหรับกรณีโจทก์ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าระเบียบฉบับใหม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีต้องบังคับตามระเบียบฉบับเดิมซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและใช้บังคับในขณะเกิดอุบัติเหตุ เมื่อได้ความว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งระเบียบฉบับเดิมระบุโทษให้ไล่ออกฉะนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าระเบียบของจำเลยฉบับใหม่ไม่มีผลบังคับในกรณีของโจทก์ การกระทำของโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์อุทธรณ์ในข้อที่มิได้อ้างมาในฟ้อง จึงมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุก่อนที่ระเบียบฉบับใหม่ของจำเลยจะใช้บังคับระเบียบฉบับใหม่จึงไม่มีผลบังคับสำหรับกรณีโจทก์ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าระเบียบฉบับใหม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีต้องบังคับตามระเบียบฉบับเดิมซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและใช้บังคับในขณะเกิดอุบัติเหตุ เมื่อได้ความว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งระเบียบฉบับเดิมระบุโทษให้ไล่ออกฉะนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าระเบียบของจำเลยฉบับใหม่ไม่มีผลบังคับในกรณีของโจทก์ การกระทำของโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์อุทธรณ์ในข้อที่มิได้อ้างมาในฟ้อง จึงมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231-2232/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิในที่ดินของตนเองไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น หากไม่มีเจตนาหรือประมาทเลินเล่อ
จำเลยปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้นครึ่ง เพื่อขายพร้อมที่ดิน โดยด้านหลังของตึกแถวหันเข้าหาด้านหลังตึกแถวของโจทก์ แต่เว้นช่องว่างด้านหลังอาคารไม่ถึง 2 เมตรตามแบบแปลน จำเลยได้ก่อสร้างกำแพงติดผนังตึกห้องครัวโจทก์ด้านหลังและด้านข้าง และเทพื้นคอนกรีตสูงขึ้น ทำให้ประตูครัวด้านหลัง และประตูด้านข้างตึกแถวโจทก์ปิดเปิดไม่ได้ ทั้งช่องลมห้องครัวด้านหลังถูกปิดด้วยนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำลงในที่ดินส่วนของจำเลยเอง เป็นการใช้สิทธิเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยทรัพย์สินของจำเลยโดยตรง มิใช่เป็นเรื่องจงใจหรือ ประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทั้งรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1716/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาประเด็นประมาทเลินเล่อในคดีเลิกจ้าง ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนพิจารณาจากพยานเดิมโดยไม่ต้องสืบเพิ่มเติม
โจทก์จำเลยสืบพยานของตนในประเด็นที่ศาลฎีกาย้อนสำนวนมาจนแถลงหมดพยานแล้วการที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าให้ศาลแรงงานกลางทำการพิจารณาในประเด็นดังกล่าวและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจึงหมายถึงให้พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์จำเลยที่นำสืบกันมาแล้วในสำนวนแล้วพิพากษาใหม่เท่านั้น ที่ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยเสียเองเพราะเป็นกรณีต้องฟังข้อเท็จจริงอยู่ด้วยซึ่งศาลฎีกาจะวินิจฉัยเสียเองมิได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 56 วรรคสอง หาได้แสดงว่าศาลฎีกาประสงค์ให้สืบพยานเพิ่มเติมอีกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของลูกจ้างในการประเมินหลักทรัพย์ประกัน ทำให้จำเลยเสียหาย เป็นเหตุสมควรเลิกจ้างได้
โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่นำแฟ้มเรื่องไปด้วยเป็นการขัดกับเหตุผลและข้อเท็จจริงเมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพราะเหตุอื่น อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงโดยบิดเบือนคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ หรือโจทก์มีพฤติการณ์ไม่สุจริตอันเป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากหลักฐานอ้างอิง เมื่อศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยดังที่โจทก์อุทธรณ์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
น. ขอกู้เงินจำนวน 320,000 บาทจากธนาคารจำเลยโดยจำนองที่ดินเป็นประกัน จำเลยให้ ว. ส. และ ธ. พนักงานของจำเลยไปตรวจสอบที่ดิน พนักงานดังกล่าวไปตรวจสอบแล้วทำรายงานว่าที่ดินที่จะจำนองประกันหนี้เงินกู้ติดซอยสาธารณะจำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปตามที่ขอกู้ต่อมา น. ขอกู้เงินเพิ่มอีก 200,000 บาท อ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินแล้ว จำเลยจึงให้ ว. ศ. และโจทก์เป็นผู้ไปตรวจสอบ โจทก์กับพวกไปตรวจสอบแล้วร่วมกันทำรายงานว่ามีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จริงจำเลยจึงให้ น.กู้เงินเพิ่มอีก ในที่สุดปรากฏว่าที่ดินของ น. ไม่ติดซอยสาธารณะ ไม่มีทางเข้าออก และไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้ แม้ครั้งแรกโจทก์จะไม่ได้ร่วมไปตรวจสอบด้วยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยให้โจทก์ไปตรวจสอบว่ามีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่ในที่ดินของ น. จริงหรือไม่ โจทก์ก็ย่อมจะต้องตรวจเรื่องเดิมว่าที่ดินของ น. อยู่ตรงจุดใด เพื่อที่จะทราบโดยแน่ชัดว่ามีอาคารปลูกอยู่จริงหรือไม่ แต่โจทก์ไม่สนใจตรวจดูเรื่องเดิมกลับเชื่อตามที่ ว. ชี้ว่าที่ดินของผู้อื่นซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เป็นของ น.จึงถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
การที่โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อว่ามีหลักทรัพย์อันเป็นประกันคืออาคารพาณิชย์ปลูกในที่ดินที่จำนองไว้เดิมจริงตามที่ น. อ้าง จำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปอีก 200,000บาท เพียงเท่านี้ถือได้แล้วว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าเมื่อจำเลยบังคับจำนองแล้วจะได้รับการชำระคุ้มกับหนี้หรือไม่ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยจะพึงเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ หรือโจทก์มีพฤติการณ์ไม่สุจริตอันเป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากหลักฐานอ้างอิง เมื่อศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยดังที่โจทก์อุทธรณ์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
น. ขอกู้เงินจำนวน 320,000 บาทจากธนาคารจำเลยโดยจำนองที่ดินเป็นประกัน จำเลยให้ ว. ส. และ ธ. พนักงานของจำเลยไปตรวจสอบที่ดิน พนักงานดังกล่าวไปตรวจสอบแล้วทำรายงานว่าที่ดินที่จะจำนองประกันหนี้เงินกู้ติดซอยสาธารณะจำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปตามที่ขอกู้ต่อมา น. ขอกู้เงินเพิ่มอีก 200,000 บาท อ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินแล้ว จำเลยจึงให้ ว. ศ. และโจทก์เป็นผู้ไปตรวจสอบ โจทก์กับพวกไปตรวจสอบแล้วร่วมกันทำรายงานว่ามีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จริงจำเลยจึงให้ น.กู้เงินเพิ่มอีก ในที่สุดปรากฏว่าที่ดินของ น. ไม่ติดซอยสาธารณะ ไม่มีทางเข้าออก และไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้ แม้ครั้งแรกโจทก์จะไม่ได้ร่วมไปตรวจสอบด้วยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยให้โจทก์ไปตรวจสอบว่ามีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่ในที่ดินของ น. จริงหรือไม่ โจทก์ก็ย่อมจะต้องตรวจเรื่องเดิมว่าที่ดินของ น. อยู่ตรงจุดใด เพื่อที่จะทราบโดยแน่ชัดว่ามีอาคารปลูกอยู่จริงหรือไม่ แต่โจทก์ไม่สนใจตรวจดูเรื่องเดิมกลับเชื่อตามที่ ว. ชี้ว่าที่ดินของผู้อื่นซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เป็นของ น.จึงถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
การที่โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อว่ามีหลักทรัพย์อันเป็นประกันคืออาคารพาณิชย์ปลูกในที่ดินที่จำนองไว้เดิมจริงตามที่ น. อ้าง จำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปอีก 200,000บาท เพียงเท่านี้ถือได้แล้วว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าเมื่อจำเลยบังคับจำนองแล้วจะได้รับการชำระคุ้มกับหนี้หรือไม่ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยจะพึงเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของลูกจ้างในการตรวจสอบหลักทรัพย์ประกัน ทำให้จำเลยเสียหาย มีเหตุเลิกจ้างได้
โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่นำแฟ้มเรื่องไปด้วยเป็นการขัดกับเหตุผลและข้อเท็จจริงเมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพราะเหตุอื่น อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงโดยบิดเบือนคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์หรือโจทก์มีพฤติการณ์ไม่สุจริตอันเป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากหลักฐานอ้างอิง เมื่อศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยดังที่โจทก์อุทธรณ์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
น. ขอกู้เงินจำนวน 320,000 บาทจากธนาคารจำเลยโดยจำนองที่ดินเป็นประกัน จำเลยให้ ว.ส.และธ. พนักงานของจำเลยไปตรวจสอบที่ดิน พนักงานดังกล่าวไปตรวจสอบแล้วทำรายงานว่าที่ดินที่จะจำนองประกันหนี้เงินกู้ติดซอยสาธารณะจำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปตามที่ขอกู้ ต่อมา น. ขอกู้เงินเพิ่มอีก 200,000 บาท อ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินแล้ว จำเลยจึงให้ ว.ศ. และโจทก์เป็นผู้ไปตรวจสอบ โจทก์กับพวกไปตรวจสอบแล้วร่วมกันทำรายงานว่ามีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จริง จำเลยจึงให้ น.กู้เงินเพิ่มอีก ในที่สุดปรากฏว่าที่ดินของ น. ไม่ติดซอยสาธารณะ ไม่มีทางเข้าออก และไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้ แม้ครั้งแรกโจทก์จะไม่ได้ร่วมไปตรวจสอบด้วยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยให้โจทก์ไปตรวจสอบว่ามีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่ในที่ดินของ น. จริงหรือไม่ โจทก์ก็ย่อมจะต้องตรวจเรื่องเดิมว่าที่ดินของ น. อยู่ตรงจุดใด เพื่อที่จะทราบโดยแน่ชัดว่ามีอาคารปลูกอยู่จริงหรือไม่ แต่โจทก์ไม่สนใจตรวจดูเรื่องเดิม กลับเชื่อตามที่ ว. ชี้ว่าที่ดินของผู้อื่นซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เป็นของ น. จึงถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
การที่โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อว่ามีหลักทรัพย์อันเป็นประกันคืออาคารพาณิชย์ปลูกในที่ดินที่จำนองไว้เดิมจริงตามที่ น. อ้าง จำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปอีก 200,000 บาท เพียงเท่านี้ถือได้แล้วว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าเมื่อจำเลยบังคับจำนองแล้วจะได้รับการชำระคุ้มกับหนี้หรือไม่ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยจะพึงเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์หรือโจทก์มีพฤติการณ์ไม่สุจริตอันเป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากหลักฐานอ้างอิง เมื่อศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยดังที่โจทก์อุทธรณ์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
น. ขอกู้เงินจำนวน 320,000 บาทจากธนาคารจำเลยโดยจำนองที่ดินเป็นประกัน จำเลยให้ ว.ส.และธ. พนักงานของจำเลยไปตรวจสอบที่ดิน พนักงานดังกล่าวไปตรวจสอบแล้วทำรายงานว่าที่ดินที่จะจำนองประกันหนี้เงินกู้ติดซอยสาธารณะจำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปตามที่ขอกู้ ต่อมา น. ขอกู้เงินเพิ่มอีก 200,000 บาท อ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินแล้ว จำเลยจึงให้ ว.ศ. และโจทก์เป็นผู้ไปตรวจสอบ โจทก์กับพวกไปตรวจสอบแล้วร่วมกันทำรายงานว่ามีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จริง จำเลยจึงให้ น.กู้เงินเพิ่มอีก ในที่สุดปรากฏว่าที่ดินของ น. ไม่ติดซอยสาธารณะ ไม่มีทางเข้าออก และไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้ แม้ครั้งแรกโจทก์จะไม่ได้ร่วมไปตรวจสอบด้วยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยให้โจทก์ไปตรวจสอบว่ามีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่ในที่ดินของ น. จริงหรือไม่ โจทก์ก็ย่อมจะต้องตรวจเรื่องเดิมว่าที่ดินของ น. อยู่ตรงจุดใด เพื่อที่จะทราบโดยแน่ชัดว่ามีอาคารปลูกอยู่จริงหรือไม่ แต่โจทก์ไม่สนใจตรวจดูเรื่องเดิม กลับเชื่อตามที่ ว. ชี้ว่าที่ดินของผู้อื่นซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เป็นของ น. จึงถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
การที่โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อว่ามีหลักทรัพย์อันเป็นประกันคืออาคารพาณิชย์ปลูกในที่ดินที่จำนองไว้เดิมจริงตามที่ น. อ้าง จำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปอีก 200,000 บาท เพียงเท่านี้ถือได้แล้วว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าเมื่อจำเลยบังคับจำนองแล้วจะได้รับการชำระคุ้มกับหนี้หรือไม่ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยจะพึงเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อทั้งสองฝ่าย ค่าเสียหายเป็นพับกันไป จำเลยไม่ต้องรับผิด
เมื่อคนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างขับรถชนกันโดยความประมาทเลินเล่อมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน ก็เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายต่างทำละเมิดต่อกันเท่าๆ กันค่าเสียหายย่อมเป็นพับกันไปจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์