พบผลลัพธ์ทั้งหมด 670 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนในคดีที่ฟ้องร่วมกัน และสิทธิในการนำสืบพยานของจำเลย
คดีที่โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์แต่ละคนชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลโดยลำพัง ฉะนั้น แม้โจทก์จะฟ้องมาในคดีเดียวกัน ก็ต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมีจำนวนไม่เกิน 5,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์แต่ละคนจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2511)
การที่จำเลยที่ 2 ไม่เข้าเบิกความเป็นพยาน ไม่มีกฎหมายตัดสิทธิ มิให้จำเลยที่ 2 นำพยานเข้าสืบหรือบัญญัติว่าจะเอาคำเบิกความของพยานนั้นหรือคำเบิกความของจำเลยด้วยกันมาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้
การที่จำเลยที่ 2 ไม่เข้าเบิกความเป็นพยาน ไม่มีกฎหมายตัดสิทธิ มิให้จำเลยที่ 2 นำพยานเข้าสืบหรือบัญญัติว่าจะเอาคำเบิกความของพยานนั้นหรือคำเบิกความของจำเลยด้วยกันมาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ผู้ให้กู้เป็นพยานได้
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้ผู้ให้กู้ลงชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้กู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาคดีอื่นไม่ผูกพันคดีปัจจุบัน และคำเบิกความพยานในคดีหนึ่งใช้ยันจำเลยในอีกคดีหนึ่งไม่ได้
คำพิพากษาในคดีอื่นซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ผูกพันคู่ความในอีกคดีหนึ่ง
คำเบิกความของพยานในคดีหนึ่งจะนำมาใช้ยันคู่ความในอีดคดีหนึ่งไม่ได้ เพราะมิได้พิจารณาต่อหน้าคู่ความในคดีนั้น และคู่ความในคดีนั้นไม่มีโอกาสซักค้าน หากโจทก์จะประสงค์จะให้ข้อเท็จจริงได้เข้ามาสู่สำนวนความโจทก์ต้องนำพยานนั้นมาสืบ
คำเบิกความของพยานในคดีหนึ่งจะนำมาใช้ยันคู่ความในอีดคดีหนึ่งไม่ได้ เพราะมิได้พิจารณาต่อหน้าคู่ความในคดีนั้น และคู่ความในคดีนั้นไม่มีโอกาสซักค้าน หากโจทก์จะประสงค์จะให้ข้อเท็จจริงได้เข้ามาสู่สำนวนความโจทก์ต้องนำพยานนั้นมาสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในชั้นศาลต้องเป็นข้อสำคัญในคดี จึงจะมีความผิด
จำเลยเบิกความต่อศาลเป็นพยานในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องว่าสมคบกันวางเพลิง โดยจำเลยเบิกความว่า "โจทก์พูดว่าอ้ายหวินมันจะวิเศษขนาดไหน แล้วนายอมรพูดว่าเอาเลยเป็นไรเป็นกันพวกเรา ทำแบบนี้" ข้อความที่จำเลยเบิกความนี้เป็นความเท็จแต่ก็ยังห่างไกลกับข้อเท็จจริงที่กล่าวหาว่าโจทก์กระทำการวางเพลิง และไม่พอฟังได้ว่า โจทก์กับนายอมรได้คบคิดกันวางเพลิงตามที่โจทก์ฟ้อง คำเบิกความนั้นจึงมิใช่เป็นข้อสำคัญในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาพ้นกำหนดและไม่อนุญาตอ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเนื่องจากประเด็นยุติแล้ว
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2507 กำหนดระยะเวลา 1 เดือนสำหรับการยื่นฎีกา เริ่มนับหนึ่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2507 ครบ 1 เดือนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2507 แต่วันที่ 28, 29 พฤศจิกายน 2507 ตรงกับวันหยุดราชการ โจทก์จึงยื่นฎีกาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยได้จดทะเบียนสมรส นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้ และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยได้จดทะเบียนสมรส นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้ และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จต้องเป็นข้อสำคัญแก่คดี จึงจะมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
ที่จะเป็นผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 นั้น ความเท็จนั้นจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดี
โจทก์จ่ายเช็คให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างในการทำรั้วสังกะสี นายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วสังกะสีตามสัญญา โจทก์จึงอายัดเช็คไว้และไม่นำเงินเข้าบัญชีให้พอจ่ายตามเช็ค ภายหลังมีบุคคลที่ 3 อ้างว่าเป็นผู้ทรงเช็คนำเช็คนั้นมาฟ้องอาญาแก่โจทก์ฐานจ่ายเช็คไม่มีเงิน ศาลพิพากษายกฟ้องเรื่องเช็ค โดยเห็นว่าโจทก์อายัดเช็คไว้โดยไม่มีเจตนาทุจริตเพราะนายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วให้ตามสัญญา ระหว่างพิจารณาคดีอาญาเรื่องเช็ค จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นว่า นายหว่องหวั่นหลีได้นำเช็คนั้นมาแลกเงินสดของจำเลยไป และจำเลยถูกจับเรื่องเล่นการพนันไพ่เผร่วมกับนายหว่องหวั่นหลี แต่มิได้ถูกตำรวจยึดเช็คนั้นไปด้วย ดังนี้ แม้ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแก่คดีที่จะทำให้โจทก์ต้องรับโทษในคดีเรื่องเช็คนั้นแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดฐานเบิกความเท็จ
โจทก์จ่ายเช็คให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างในการทำรั้วสังกะสี นายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วสังกะสีตามสัญญา โจทก์จึงอายัดเช็คไว้และไม่นำเงินเข้าบัญชีให้พอจ่ายตามเช็ค ภายหลังมีบุคคลที่ 3 อ้างว่าเป็นผู้ทรงเช็คนำเช็คนั้นมาฟ้องอาญาแก่โจทก์ฐานจ่ายเช็คไม่มีเงิน ศาลพิพากษายกฟ้องเรื่องเช็ค โดยเห็นว่าโจทก์อายัดเช็คไว้โดยไม่มีเจตนาทุจริตเพราะนายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วให้ตามสัญญา ระหว่างพิจารณาคดีอาญาเรื่องเช็ค จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นว่า นายหว่องหวั่นหลีได้นำเช็คนั้นมาแลกเงินสดของจำเลยไป และจำเลยถูกจับเรื่องเล่นการพนันไพ่เผร่วมกับนายหว่องหวั่นหลี แต่มิได้ถูกตำรวจยึดเช็คนั้นไปด้วย ดังนี้ แม้ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแก่คดีที่จะทำให้โจทก์ต้องรับโทษในคดีเรื่องเช็คนั้นแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดฐานเบิกความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดี จึงจะมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
ที่จะเป็นผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา177 นั้นความเท็จนั้นจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดี
โจทก์จ่ายเช็คให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างในการทำรั้วสังกะสี นายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วสังกะสีตามสัญญาโจทก์จึงอายัดเช็คไว้และไม่นำเงินเข้าบัญชีให้พอจ่ายตามเช็ค ภายหลังมีบุคคลที่ 3 อ้างว่าเป็นผู้ทรงเช็คนำเช็คนั้นมาฟ้องอาญาแก่โจทก์ฐานจ่ายเช็คไม่มีเงิน ศาลพิพากษายกฟ้องเรื่องเช็ค โดยเห็นว่าโจทก์อายัดเช็คไว้โดยไม่มีเจตนาทุจริตเพราะนายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วให้ตามสัญญาระหว่างพิจารณาคดีอาญาเรื่องเช็ค จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นว่านายหว่องหวั่นหลีได้นำเช็คนั้นมาแลกเงินสดของจำเลยไปและจำเลยถูกจับเรื่องเล่นการพนันไพ่เผร่วมกับนายหว่องหวั่นหลีแต่มิได้ถูกตำรวจยึดเช็คนั้นไปด้วยดังนี้ แม้ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแก่คดีที่จะทำให้โจทก์ต้องรับโทษในคดีเรื่องเช็คนั้นแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดฐานเบิกความเท็จ
โจทก์จ่ายเช็คให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างในการทำรั้วสังกะสี นายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วสังกะสีตามสัญญาโจทก์จึงอายัดเช็คไว้และไม่นำเงินเข้าบัญชีให้พอจ่ายตามเช็ค ภายหลังมีบุคคลที่ 3 อ้างว่าเป็นผู้ทรงเช็คนำเช็คนั้นมาฟ้องอาญาแก่โจทก์ฐานจ่ายเช็คไม่มีเงิน ศาลพิพากษายกฟ้องเรื่องเช็ค โดยเห็นว่าโจทก์อายัดเช็คไว้โดยไม่มีเจตนาทุจริตเพราะนายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วให้ตามสัญญาระหว่างพิจารณาคดีอาญาเรื่องเช็ค จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นว่านายหว่องหวั่นหลีได้นำเช็คนั้นมาแลกเงินสดของจำเลยไปและจำเลยถูกจับเรื่องเล่นการพนันไพ่เผร่วมกับนายหว่องหวั่นหลีแต่มิได้ถูกตำรวจยึดเช็คนั้นไปด้วยดังนี้ แม้ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแก่คดีที่จะทำให้โจทก์ต้องรับโทษในคดีเรื่องเช็คนั้นแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดฐานเบิกความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ เมื่อเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี และไม่มีพยานสนับสนุน
ในคดีที่โจทก์มีพยานเพียง 2 ปาก และศาลได้วินิจฉัยว่าพยานทั้งสองนั้นไม่ได้เห็นเหตุการณ์จริงเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าคดีโจทก์ไม่มีพยานที่จะให้ศาลฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดจึงเป็นเหตุลักษณะคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2,3,4โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2, 3, 4 ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์เช่นนี้ เมื่อเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีแล้วศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธรณ์ได้ด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2,3,4โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2, 3, 4 ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์เช่นนี้ เมื่อเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีแล้วศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธรณ์ได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความพยานตามหน้าที่ ไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท แม้คำตอบจะกระทบต่อโจทก์
คดีก่อน จำเลยถูกอ้างและหมายเรียกมาเป็นพยาน จำเลยถูกคู่ความคดีนั้น ถามว่าพยานได้ปลุกปล้ำโจทก์ในคดีนี้หรือไม่ จำเลยไม่เต็มใจตอบเกรงจะถูกฟ้องคดีอาญาแต่ศาลสั่งให้ตอบจึงตอบว่า ได้เสียกัน เป็นการตอบตามประเด็นที่คู่ความซักถาม ตอบไปตามหน้าที่ของพยาน มิใช่นอกเหนือหน้าที่ ทั้งไม่มีเจตนาตอบไปเพื่อหมิ่นประมาทโจทก์ จึงไม่มีความผิด (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการให้การพยาน และความผิดฐานหมิ่นประมาทจากการตอบคำถามในศาล
คดีก่อน จำเลยถูกอ้างและหมายเรียกมาเป็นพยาน จำเลยถูกคู่ความคดีนั้นถามว่าพยานได้ปลุกปล้ำโจทก์ในคดีนี้หรือไม่จำเลยไม่เต็มใจตอบเกรงจะถูกฟ้องคดีอาญาแต่ศาลสั่งให้ตอบจึงตอบว่า ได้เสียกัน เป็นการตอบตามประเด็นที่คู่ความซักถาม ตอบไปตามหน้าที่ของพยาน มิใช่นอกเหนือหน้าที่ ทั้งไม่มีเจตนาตอบไปเพื่อหมิ่นประมาทโจทก์จึงไม่มีความผิด (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2510)