พบผลลัพธ์ทั้งหมด 587 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4738/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการใช้ทางของรถจักรยานยนต์ที่ถึงทางแยกก่อน รถยนต์ต้องให้ผ่านก่อน แม้เป็นทางเอก
จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์มาถึงทางแยกก่อนจนแล่นเข้าไปอยู่ในช่องทางเดินรถช่องที่ 1 จะถึงช่องที่ 2 อยู่แล้ว รถยนต์ที่ ส. ขับจึงชนรถจักรยานยนต์ของจำเลย ในลักษณะเช่นนี้รถยนต์ของ ส. จะต้องให้รถจักรยานยนต์ของจำเลยผ่านไปก่อนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 71 (1) ส. ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงมากและไม่ลดความเร็วเมื่อถึงทางร่วมทางแยกแม้จะเป็นทางเอกก็เป็นฝ่ายประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากรถยนต์: ผู้ซื้อรถ (แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน) และผู้รับประกันภัยมีหน้าที่รับผิดชอบ
จำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 3 โดยมีเงื่อนไขว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอน จำเลยที่ 3 เอาประกันภัยรถยนต์คันนี้ไว้กับจำเลยที่ 4 กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า 'บริษัทจะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง.........' ดังนี้การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ผู้เอาประกันภัยและมีฐานะเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยเอง จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย (อ้างฎีกาที่ 3583/2529) ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะนายจ้าง สำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยนั้น ไม่ได้ความว่าเป็นผู้ครอบครองด้วย จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการเชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัย เท่ากับจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 4 เองนั้น โจทก์มิได้กล่าวไว้ในคำฟ้อง ศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการเชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัย เท่ากับจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 4 เองนั้น โจทก์มิได้กล่าวไว้ในคำฟ้อง ศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3462/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยวิธีลงพิมพ์โฆษณา และความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175 อาจกระทำได้โดยทางใดทางหนึ่งใน 2 ทาง คือ ลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน หรือส่งทางไปรษณีย์ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เมื่อจำเลยผู้เป็นกรรมการของบริษัทเลือกลงพิมพ์โฆษณาแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องส่งคำบอกกล่าวทางไปรษณีย์อีกแม้ในการเรียกประชุมใหญ่ครั้งก่อน ๆ จำเลยได้ส่งคำบอกกล่าวทางไปรษณีย์ถึงโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น แต่การเรียกประชุมใหญ่ครั้งนี้จำเลยบอกกล่าวโดยลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ ก็เป็นสิทธิของจำเลยที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นการไม่สุจริต
ฎีกาว่าคะแนนเสียงในการประชุมใหญ่วิสามัญมีคะแนนเสียงไม่ถึง 3 ใน 4 หรือ 2 ใน 3 ของคะแนนเสียงทั้งหมด เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
ฎีกาว่าคะแนนเสียงในการประชุมใหญ่วิสามัญมีคะแนนเสียงไม่ถึง 3 ใน 4 หรือ 2 ใน 3 ของคะแนนเสียงทั้งหมด เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3413/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อความเสียหายของรถยนต์ที่จอดในลานจอดรถ: ลักษณะการฝากทรัพย์ตามมาตรา 674-675
โจทก์เข้าพักในโรงแรมของจำเลยและนำรถยนต์ไปจอดในบริเวณลานจอดรถของโรงแรม รถยนต์โจทก์หายไป ต่อมาโจทก์ได้รับรถยนต์คืนในสภาพชำรุดเสียหาย จึงฟ้องในข้อหาฝากทรัพย์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายโดยบรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นเจ้าสำนัก โรงแรมหรือโฮเต็ล เช่นนี้เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นเจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674, 675 ซึ่งเป็นบทกฎหมายในลักษณะฝากทรัพย์นั่นเอง มิใช่การฝากทรัพย์ตามมาตรา 657 แต่อย่างเดียวดังที่จำเลยให้การปฏิเสธไว้ ศาลจึงวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดตามฟ้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของผู้ขายจนกว่าจะมีการชำระราคาและโอนทะเบียนตามสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไข
สัญญาซื้อขายรถยนต์มีข้อความว่าผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ขายจะส่งมอบรถให้แก่ผู้ซื้อในวันที่โอนทะเบียน ผู้ซื้อจะชำระเงิน 10,000 บาท และจะโอนทะเบียนกันในเดือนพฤศจิกายน 2527 ดังนี้ เป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่โอนไปจนกว่าผู้ซื้อจะได้ชำระราคาและโอนทะเบียนแล้ว เมื่อผู้ซื้อยังชำระราคาไม่ครบ และยังไม่ได้โอนทะเบียนกันกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางยังคงเป็นของผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2586/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าซื้อและการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อไม่สามารถเรียกร้องคืนรถได้
เดิม รถยนต์ของกลางเป็นของ น. น. ได้กู้เงินจากผู้ร้องโดยโอนรถของกลางให้ผู้ร้องและทำสัญญาเช่าซื้อรถนั้นจากผู้ร้องกำหนดราคาเช่าซื้อ 70,800 บาท แบ่งชำระเป็นรายเดือนรวม 12เดือน ๆ ละ 5,900 บาท น. ขาดส่งค่าเช่าซื้องวดแรก 3-4 เดือนจึงขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถของกลางให้แก่จำเลยที่ 3 และได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ จำเลยที่ 3 ส่งค่าเช่าซื้อตลอดมาได้ 11 งวดคงค้างงวดสุดท้าย ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ชำระเงินค่าเช่าซื้อผิดนัดทุกงวด แม้งวดสุดท้ายจะผิดนัด ก็เชื่อ ได้ว่าเมื่อจำเลยที่ 3ชำระเงินงวดสุดท้ายผู้ร้องก็จะต้องโอนทะเบียนรถให้แก่จำเลยที่ 3 แน่ พฤติการณ์ที่ผู้ร้องขอคืนของกลางก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3 เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จะคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องหาชอบไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2586/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าซื้อรถยนต์และการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องขอคืนรถเพื่อประโยชน์จำเลยที่ 3 ศาลไม่เห็นด้วย
เดิมรถยนต์ของกลางเป็นของ น. น.ได้กู้เงินจากผู้ร้องโดยโอนรถของกลางให้ผู้ร้องและทำสัญญาเช่าซื้อรถนั้นจากผู้ร้องกำหนดราคาเช่าซื้อ 70,800 บาท แบ่งชำระเป็นรายเดือนรวม 12เดือน ๆ ละ 5,900 บาท น. ขาดส่งค่าเช่าซื้องวดแรก 3-4 เดือนจึงขายหสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถของกลางให้แก่จำเลยที่ 3และได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ จำเลยที่ 3 ส่งค่าเช่าซื้อตลอดมาได้ 11 งวด คงค้างงวดสุดท้าย ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ชำระเงินค่าเช่าซื้อผิดนัดทุกงวด แม้งวดสุดท้ายจะผิดนัด ก็เชื่อได้ว่าเมื่อจำเลยที่ 3 ชำระเงินงวดสุดท้ายผู้ร้องก็จะต้องโอนทะเบียนรถให้แก่จำเลยที่ 3 แน่ พฤติการณ์ที่ผู้ร้องขอคืนของกลางก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3 เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จะคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องหาชอบไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รถยนต์เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจริบได้ แม้ปรับบทลงโทษแล้ว
จำเลยร่วมกับ ม.วางแผนฆ่าผู้เสียหายโดยใช้รถยนต์กระบะไปดักรอผู้เสียหายที่สถานีบริการน้ำมันและขับรถดังกล่าวตามรถผู้เสียหายไป แล้ว ม. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายขณะรถยนต์กระบะกำลังแซงรถของผู้เสียหายขึ้นไป ดังนี้รถยนต์กระบะดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
เมื่อศาลปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก
เมื่อศาลปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำความผิดและบทบาทของผู้ขับรถ
จำเลยขับรถยนต์กระบะให้ ม. นั่งที่กระบะรถไปจอดดัก รออยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน พอ อ. ขับรถยนต์นั่งผ่านมา จำเลยก็ขับรถตามรถยนต์ของ อ. ไป แล้วขับแซง ขึ้นหน้าให้ ม. ใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถที่ อ. ขับกระสุนปืนถูก ก. ซึ่งนั่งอยู่ในรถที่คอเส้นโลหิตดำขาด จากนั้นจำเลยหยุดรถให้ ม. หนีไป พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยร่วมกับ ม. กระทำการโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อน เมื่อ ก.ไม่ถึงแก่ความตายเพราะแพทย์รักษาได้ทันท่วงที จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อนและในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่ารถยนต์กระบะเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288,289,80,83 นั้น เห็นว่าเมื่อปรับบทลงโทษตามมาตรา 289 แล้ว ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถยนต์กระบะเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และอำนาจการสั่งริบของศาล
จำเลยร่วมกับ ม.วางแผนฆ่าผู้เสียหายโดยใช้รถยนต์กระบะไปดักรอผู้เสียหายที่สถานีบริการน้ำมันและขับรถดังกล่าวตามรถผู้เสียหายไป แล้ว ม. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายขณะรถยนต์กระบะกำลังแซงรถของผู้เสียหายขึ้นไป ดังนี้รถยนต์กระบะดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
เมื่อศาลปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก.
เมื่อศาลปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก.