พบผลลัพธ์ทั้งหมด 546 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่สมบูรณ์! จำเลยแจ้งความเท็จ-ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชัดเจน
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยร้องเรียนและแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ถ้าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนและแจ้งแก่เจ้าพนักงานนั้น เท็จอย่างใดและความจริงเป็นฉันใด อันพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้ข้อความในตอนท้ายจะมีกล่าวว่าโดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นข้อความเท็จหรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น ก็เป็นข้อความที่กล่าวอย่างเคลือบคลุม ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้ว่าเป็นเท็จในข้อใด คำว่า "หรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น" ก็เป็นคำกล่าวอย่างกว้างๆ ไม่แน่ชัดว่าเหตุที่ไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะไม่มีการกระทำหรือว่าเป็นเพราะการกระทำนั้นไม่เป็นผิดอาญาทั้งมีคำว่า "หรือ" ประกอบอยู่ในฟ้อง ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงการไม่ยืนยันให้แน่ชัด ฟ้องโจทก์เช่นนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใดตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใดตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198-1199/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จโดยผู้ร่วมกระทำผิด การละเมิด และอำนาจแจ้งความ
การที่ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันมาแจ้งความต่อตำรวจ เปิดเผยการกระทำอันไม่บริสุทธิ์โดยไม่แจ้งว่าตนได้ร่วมในการกระทำผิดด้วย และเนื่องจากการแจ้งความเปิดเผยเช่นนี้ ทำให้กรมสรรพากรทราบจนบริษัทต้องถูกปรับค่าภาษีถึงห้าแสนบาทเศษ จะเป็นโดยจำเลยแจ้งเพื่อบรรเทาผลร้ายหรือแม้จะเพราะโกรธเคืองกันเอง ก็ไม่เป็นการทำละเมิดต่อผู้กระทำผิดร่วมที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
จำเลยแจ้งความต่อตำรวจโดยไม่ได้ร้องขอให้จับกุม เป็นการแล้วแต่ตำรวจจะสอบสวนพิจารณาเหตุเอาเอง ข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งว่ามีการลงบัญชีเท็จก็เป็นจริงดังที่จำเลยแจ้งความ ได้มีการสอบสวนใช้เวลาอีกหลายเดือน ตำรวจจึงได้เรียกโจทก์ไปแจ้งข้อหา หากโจทก์จะเสียหายที่ต้องไปสถานีตำรวจและต้องหาประกันที่โจทก์ว่าทำให้โจทก์เสียหายประการใด ก็เป็นผลโดยตรงจากการวินิจฉัยของตำรวจเอง การที่ตำรวจหรืออัยการไม่ฟ้องโจทก์ต่อศาลก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิด แต่เห็นว่าจำเลยไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งเป็นปัญหากฎหมาย ไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริง ที่จำเลยแจ้งไม่เป็นความจริง เช่นนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิดฐานละเมิด
จำเลยแจ้งความต่อตำรวจโดยไม่ได้ร้องขอให้จับกุม เป็นการแล้วแต่ตำรวจจะสอบสวนพิจารณาเหตุเอาเอง ข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งว่ามีการลงบัญชีเท็จก็เป็นจริงดังที่จำเลยแจ้งความ ได้มีการสอบสวนใช้เวลาอีกหลายเดือน ตำรวจจึงได้เรียกโจทก์ไปแจ้งข้อหา หากโจทก์จะเสียหายที่ต้องไปสถานีตำรวจและต้องหาประกันที่โจทก์ว่าทำให้โจทก์เสียหายประการใด ก็เป็นผลโดยตรงจากการวินิจฉัยของตำรวจเอง การที่ตำรวจหรืออัยการไม่ฟ้องโจทก์ต่อศาลก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิด แต่เห็นว่าจำเลยไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งเป็นปัญหากฎหมาย ไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริง ที่จำเลยแจ้งไม่เป็นความจริง เช่นนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิดฐานละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198-1199/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จโดยผู้ร่วมกระทำผิด: ไม่เป็นละเมิดต่อผู้ร่วมกระทำผิด แม้จะนำไปสู่ค่าปรับทางภาษี
การที่ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันมาแจ้งความต่อตำรวจ เปิดเผยการกระทำอันไม่บริสุทธิ์โดยไม่แจ้งว่าตนได้ร่วมในการกระทำผิดด้วย และ เนื่องจากการแจ้งความเปิดเผยเช่นนี้ทำให้กรมสรรพากรทราบจนบริษัทต้องถูกปรับค่าภาษีถึงห้าแสนบาทเศษ จะเป็นโดยจำเลยแจ้งเพื่อบรรเทาผลร้ายหรือแม้จะเพราะโกรธเคืองกันเอง ก็ไม่เป็นการทำละเมิดต่อผู้กระทำผิดร่วมที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
จำเลยแจ้งความต่อตำรวจโดยไม่ได้ร้องขอให้จับกุม เป็นการแล้วแต่ตำรวจจะสอบสวนพิจารณาเหตุผลเอาเอง ข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งว่ามีการลงบัญชีเท็จก็เป็นจริงดังที่จำเลยแจ้งความได้มีการสอบสวนใช้เวลาอีกหลายเดือน ตำรวจจึงได้เรียกโจทก์ไปแจ้งข้อหา หากโจทก์จะเสียหายที่ต้องไปสถานีตำรวจและต้องหาประกันที่โจทก์ว่าทำให้โจทก์เสียหายประการใด ก็เป็นผลโดยตรงจากการวินิจฉัยของตำรวจเอง การที่ตำรวจหรืออัยการไม่ฟ้องโจทก์ต่อศาลก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิด แต่เห็นว่าจำเลยไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งเป็นปัญหากฎหมาย ไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งไม่เป็นความจริง เช่นนี้จำเลยไม่ต้องรับผิดฐานละเมิด
จำเลยแจ้งความต่อตำรวจโดยไม่ได้ร้องขอให้จับกุม เป็นการแล้วแต่ตำรวจจะสอบสวนพิจารณาเหตุผลเอาเอง ข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งว่ามีการลงบัญชีเท็จก็เป็นจริงดังที่จำเลยแจ้งความได้มีการสอบสวนใช้เวลาอีกหลายเดือน ตำรวจจึงได้เรียกโจทก์ไปแจ้งข้อหา หากโจทก์จะเสียหายที่ต้องไปสถานีตำรวจและต้องหาประกันที่โจทก์ว่าทำให้โจทก์เสียหายประการใด ก็เป็นผลโดยตรงจากการวินิจฉัยของตำรวจเอง การที่ตำรวจหรืออัยการไม่ฟ้องโจทก์ต่อศาลก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิด แต่เห็นว่าจำเลยไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งเป็นปัญหากฎหมาย ไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งไม่เป็นความจริง เช่นนี้จำเลยไม่ต้องรับผิดฐานละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาและแจ้งความเท็จ: จำเลยเข้าใจสัญญาถูกต้องตามเจตนา แม้ข้อความไม่ชัดเจน ไม่ถือเป็นแจ้งความเท็จ
โจทก์จำเลยทำสัญญากัน โดยจำเลยยอมให้เอาที่ดินของจำเลยให้โจทก์ยื่นคำร้อง ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ในการนี้โจทก์ตกลงให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทน ต่อมาพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาดังกล่าว จำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อพนักงานโลหกิจว่า จนบัดนี้ โจทก์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดการทำเหมืองได้ จำเลยจึงขอคัดค้านการอ้างสิทธิของโจทก์โดยจำเลยไม่ยอมให้ใช้ที่ดินของจำเลย ฯลฯ เช่นนี้ แม้ความจริงโจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญากันนั้นไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อความในสัญญามีเหตุทำให้จำเลยเข้าใจได้ดังคำร้องคัดค้านของจำเลยแล้ว โจทก์จะหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาและการแจ้งความเท็จ: จำเลยไม่ได้แจ้งความเท็จ แต่เป็นการเข้าใจสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญากัน โดยจำเลยยอมให้เอาที่ดินของจำเลยให้โจทก์ยื่นคำร้องขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ในการนี้โจทก์ตกลงให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทน ต่อมาพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาดังกล่าว จำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อพนักงานโลหกิจว่า จนบัดนี้ โจทก์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดการทำเหมืองได้ จำเลยจึงขอคัดค้านการอ้างสิทธิของโจทก์โดยจำเลยไม่ยอมให้ใช้ที่ดินของจำเลย ฯลฯ เช่นนี้ แม้ความจริงโจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญากันนั้นไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อความในสัญญามีเหตุทำให้จำเลยเข้าใจได้ดังคำร้องคัดค้านของจำเลยแล้ว โจทก์จะหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941-942/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จ vs. แจ้งความเท็จ: ศาลไม่อาจลงโทษฐานแจ้งความเท็จ หากฟ้องฐานฟ้องเท็จแล้ว และการรวมกระทงลงโทษ
จำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นเท็จต่อศาล ไม่เป็นผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.158 เพราะการฟ้องเท็จที่จะเป็นผิดตามาตรานี้ ต้องเป็นการกล่าวโทษผู้อื่นในคดีอาญา
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ป.วิ.อาญาม.192 วรรค 3-4
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ป.วิ.อาญาม.192 วรรค 3-4
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941-942/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จ vs. แจ้งความเท็จ, การรวมกระทง, และอำนาจฟ้องในคดีอาญา
จำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นเท็จต่อศาล ไม่เป็นผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158 เพราะการฟ้องเท็จที่จะเป็นผิดตามมาตรานี้ ต้องเป็นการกล่าวโทษผู้อื่นในคดีอาญา
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม วรรคสี่
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม วรรคสี่
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการปกปิดความผิดตนเอง: การแจ้งความเท็จและการแจ้งความเพื่อปลีกตัวจากความผิด
การที่จำเลยปกปิดความจริงที่ตนไปร่วมกระทำผิดฆ่ากระบือโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานกับนายป้อมและนายพรมมาเสียมิได้ให้การชั้นที่เจ้าพนักงานสอบสวนสอบสวน จำเลยเป็นพยานว่าจำเลยไปร่วมกระทำผิดเป็นแต่ยืนยันว่าจำเลยได้ไปเห็นนายป้อมและนายพรมมาสมคบกันฆ่ากระบือ 2 คนเท่านั้น เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเพราะจำเลยอยู่ในฐานะที่จะตกเป็นจำเลยหรือผู้ต้องหาด้วยย่อมมีสิทธิที่จะปกปิดเรื่องนั้นไว้หรือมีสิทธิที่จะไม่ต้องเบิกความปรักปรำตนเองให้ตกเป็นจำเลยหรือผู้ต้องหาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 535/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปศุสัตว์หลงหายและการแจ้งความเท็จ กรณีลักทรัพย์ปศุสัตว์
โคของผู้เสียหายติดเข้าไปอยู่ในฝูงโคของจำเลย แยกไม่ออก ผู้เสียหายจึงสั่งจำเลยขอให้ดูไว้ด้วย
การพูดเช่นนี้จะถือว่าเป็นการรับมอบหมาย อันจะกลายเป็นผิดฐานยักยอกยังไม่ได้
ที่สุดเมื่อจำเลยกับพวกพาเอาโคของผู้เสียหายไป จึงมีความผิดฐานลักปศุสัตว์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294
แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายที่ใช้อยู่บัดนี้ ไม่มีบัญญัติถึงการลักปศุสัตว์และสัตว์พาหนะโดยเฉพาะเช่นในมาตรา 294(กฎหมายอาญา)จึงต้องใช้มาตรา 293(กฎหมายอาญา) ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าเป็นบทลงโทษจำเลย
การพูดเช่นนี้จะถือว่าเป็นการรับมอบหมาย อันจะกลายเป็นผิดฐานยักยอกยังไม่ได้
ที่สุดเมื่อจำเลยกับพวกพาเอาโคของผู้เสียหายไป จึงมีความผิดฐานลักปศุสัตว์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294
แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายที่ใช้อยู่บัดนี้ ไม่มีบัญญัติถึงการลักปศุสัตว์และสัตว์พาหนะโดยเฉพาะเช่นในมาตรา 294(กฎหมายอาญา)จึงต้องใช้มาตรา 293(กฎหมายอาญา) ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าเป็นบทลงโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จเพื่อขอใบอนุญาตขายยา: เจ้าพนักงานมีอำนาจสอบสวนและหน้าที่แจ้งความ
แม้ตามกฎกระทรวงซึ่งออกตาม พระราชบัญญัติการขายยาจะระบุไว้ว่าให้ยื่นคำขอใบอนุญาตขายยาประเภท ง. ต่อแผนกสาธารณสุขจังหวัดแล้วให้เป็นหน้าที่ของสาธารณสุขจังหวัดตรวจสอบเสนอความเห็นไปยังพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตก็ดี เมื่อบัดนี้ตำแหน่งสาธารณสุขจังหวัดไม่มีแล้ว โดยมีอนามัยจังหวัดมาแทนตามพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมอนามัยในกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2496 ก็ต้องถือว่าตำแหน่งอนามัยจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานเกี่ยวแก่การออกใบอนุญาตขายยาตามกฎกระทรวงนี้
ผู้ขอใบอนุญาตขายยา แจ้งความเท็จในเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตต่ออนามัยจังหวัดเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118
ผู้ขอใบอนุญาตขายยา แจ้งความเท็จในเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตต่ออนามัยจังหวัดเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118