พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแทงข้างหลังขณะคู่ต่อสู้ผละหนี ไม่เป็นเหตุป้องกันตัวตามกฎหมาย
ผู้ตายได้โต้เถียงและทำร้ายบิดาจำเลย บิดาจำเลยได้วิ่งเข้ามา ผู้ตายได้ใช้ไม้ตีจำเลย จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายไป 1 ที และผู้ตายได้ตีจำเลยอีก 1 ที แล้วเอี้ยวตัวจะผละหนี จำเลยก็แทงผู้ตายที่หลังอีก 1 ทีดังนี้ การที่จำเลยแทงครั้งหลังนั้น ไม่เป็นการป้องกันตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 50 เพราะจำเลยแทงข้างหลัง ไม่มีความจำเป็นที่จำเลยจะต้องแทงผู้ตายเพื่อให้บิดาหรือตัวจำเลยพ้นภยันตรายจากการกระทำของผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงมีผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่กระทำลงโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณา 'เคหะ' ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ ต้องดูเจตนาคู่สัญญาและลักษณะการใช้ประโยชน์
โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยในระหว่างใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ 2489 และโจทก์มาฟ้องคดีก่อนใช้ พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 คดีจึงตกอยู่ในบังคับมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 ต้องใช้ พ.ร.บ.ฉะบับนี้บังคับ
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น "เคหะ" ตามความหมายใน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ รวมกันว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่-อยู่ในฐานะอย่างใด
(อ้างฎีกา 1099/2491, 1147/2491)
กับมีคดีและข้อวินิจฉัยอย่างเดียวกัน คือ
คดีดำที่ 665/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 666/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 668/91 ฎีกาที่ /92
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น "เคหะ" ตามความหมายใน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ รวมกันว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่-อยู่ในฐานะอย่างใด
(อ้างฎีกา 1099/2491, 1147/2491)
กับมีคดีและข้อวินิจฉัยอย่างเดียวกัน คือ
คดีดำที่ 665/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 666/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 668/91 ฎีกาที่ /92
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า พิจารณาเจตนาใช้สิทธิในสัญญาเช่าเพื่อพิจารณาว่าเป็น 'เคหะ' หรือไม่
โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยในระหว่างใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2489 และโจทก์มาฟ้องคดีก่อนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 คดีจึงตกอยู่ในบังคับมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 ต้องใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้บังคับ
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น'เคหะ'ตามความหมายใน พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่อยู่ในฐานะอย่างใด (อ้างฎีกาที่ 1099,1147/2491)
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น'เคหะ'ตามความหมายใน พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่อยู่ในฐานะอย่างใด (อ้างฎีกาที่ 1099,1147/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในฟ้องอาญาเกี่ยวกับสุราเถื่อน ศาลลงโทษได้หากฟ้องบรรยายชัดเจนถึงเจตนา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำผิดกฎหมาย โดย ก. มีน้ำสุราเถื่อนข. มีลูกแป้งเชื้อสุราเถื่อนโดยมิได้รับอนุญาต ค.มีหมักส่าเชื้อสุราเถื่อนโดยมิได้รับอนุญาตง.มีเครื่องต้มกลั่นสุราไว้โดยมิได้รับอนุญาต จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ ต้องถือว่าในฟ้องข้อ ง. จำเลยรับว่า มีเครื่องต้มกลั่นไว้สำหรับต้มกลั่นสุราเถื่อน ลงโทษจำเลยตามมาตรา 38 พ.ร.บ.ภาษีชั้นในได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1431/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากที่มีข้อตกลงให้เช่าที่ดิน ถือเป็นสัญญาเช่าได้หากมีเจตนาและพฤติการณ์สนับสนุน
ในสัญญาขายฝากข้อ 4 มีว่าผู้ซื้อฝากยอมให้ผู้ขายฝากเช่าทรัพย์ที่ขายฝากและระบุค่าเช่าไว้ด้วยและภายหลังก็มีการเช่าต่อกันดังนี้ถือว่า ข้อความเช่นนั้นเป็นสัญญาเช่า มิใช่เป็นเพียงคำเสนอ.
ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกให้แก่ผู้ให้เช่า และต้องคิดราคาในขณะที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่า.
(อ้างฎีกาที่ 143/2491)
ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกให้แก่ผู้ให้เช่า และต้องคิดราคาในขณะที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่า.
(อ้างฎีกาที่ 143/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1431/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากที่มีข้อความให้เช่าที่ดินได้ ถือเป็นสัญญาเช่าได้ หากมีเจตนาและพฤติการณ์สนับสนุน แม้ข้อความในสัญญาจะดูเป็นเพียงคำเสนอ
ในสัญญาขายฝากข้อ 4 มีว่าผู้ซื้อฝากยอมให้ผู้ขายฝากเช่าทรัพย์ที่ขายฝากและระบุค่าเช่าไว้ด้วยและภายหลังก็มีการเช่าต่อกันดังนี้ ถือว่าข้อความเช่นนั้นเป็นสัญญาเช่า มิใช่เป็นเพียงคำเสนอ
ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกให้แก่ผู้ให้เช่า และต้องคิดราคาในขณะที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่า (อ้างฎีกาที่ 143/2491)
ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกให้แก่ผู้ให้เช่า และต้องคิดราคาในขณะที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่า (อ้างฎีกาที่ 143/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สั่งยิงผู้ต้องหา หมิ่นประมาท-ขัดขวางเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาตัดสินผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา
จำเลยที่ 1 เป็นปลัดอำเภอกับจำเลยที่ 3 เป็นตำรวจได้ควบคุมผู้ต้องหาในข้อหาฐานหมิ่นประมาทขัดขวางต่อสู้เจ้าพนักงาน ระหว่างควบคุมผู้ต้องหาหลบหนี จำเลยที่ 1 ได้สั่งให้จำเลยที่ 3 ยิงผู้ต้องหาขณะกำลังวิ่งหนีถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ย่อมมีผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา จำเลยที่ 3 จะอ้างว่าทำตามคำสั่ง โดยเชื่อว่าเป็นการชอบด้วยเหตุผลอันสมควรไม่ได้
การชันสูตรศพนั้นจะไม่ขุดศพขึ้นตรวจดูก็ได้ในเมื่อกรรมการผู้ชันสูตรศพเห็นว่าไม่จำเป็นเพราะได้สอบสวนผู้ชันสูตรศพเดิม และพะยานอื่นอันเป็นที่พอใจแล้ว
การชันสูตรศพนั้นจะไม่ขุดศพขึ้นตรวจดูก็ได้ในเมื่อกรรมการผู้ชันสูตรศพเห็นว่าไม่จำเป็นเพราะได้สอบสวนผู้ชันสูตรศพเดิม และพะยานอื่นอันเป็นที่พอใจแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1399/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ตัวการฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา
จำเลยกับพรรคพวกได้สมคบกันมาทำร้าย ฉ. โดยแบ่งหน้าที่กัน คือจำเลยกับพวกขึ้นไปฟัน ฉ. ที่บนเรือนส่วนพวกอีกคนหนึ่งมีอาวุธปืนรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน และคอยช่วยเหลืออยู่ข้างล่าง คนที่อยู่ข้างล่างยิง ฉ. ขณะที่หนีลงเรือน กระสุนปืนพลาดไปถูกภรรยา ฉ. ตายดังนี้จำเลยย่อมมีผิดฐานเป็นตัวการฆ่าคนตายโดยเจตนาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1354/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินยังไม่สมบูรณ์ สันนิษฐานเป็นสัญญาจะขายได้ หากมีเจตนาให้สมบูรณ์ภายหลัง
ที่พิพาทเป็นที่ว่างยังไม่ได้มีการปลูกสร้าง และไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน แต่ปรากฎว่าอยู่ริมถนนหลวงในเขตต์เทศบาลและมีบ้านเรือนปลูกอยู่แล้วโดยรอบที่นี้ จึงมีลักษณะเป็นที่บ้าน.
บิดาโจทก์ได้ทำสัญญาขายที่พิพาทซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ให้แก่จำเลย ทั้งยังได้ลงชื่อจำเลยไว้ในใบไต่สวนเพื่อรับโฉนดในภายหลัง และมอบให้จำเลยครอบครองโดยเปิดเผย ดังนี้ ตามพฤตติการณ์แห่งรูปคดีเป็นที่พึงสันนิษฐานได้ว่า ถ้าคู่กรณีได้รู้ว่าหนังสือสัญญานี้ไม่สมบูรณ์เป็นสัญญาซื้อขาย ก็คงจะได้ตั้งใจให้สมบูรณ์ เป็นสัญญาจะขาย กรณีเข้าลักษณะตามบทบัญญัติแห่ง ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 136.
บิดาโจทก์ได้ทำสัญญาขายที่พิพาทซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ให้แก่จำเลย ทั้งยังได้ลงชื่อจำเลยไว้ในใบไต่สวนเพื่อรับโฉนดในภายหลัง และมอบให้จำเลยครอบครองโดยเปิดเผย ดังนี้ ตามพฤตติการณ์แห่งรูปคดีเป็นที่พึงสันนิษฐานได้ว่า ถ้าคู่กรณีได้รู้ว่าหนังสือสัญญานี้ไม่สมบูรณ์เป็นสัญญาซื้อขาย ก็คงจะได้ตั้งใจให้สมบูรณ์ เป็นสัญญาจะขาย กรณีเข้าลักษณะตามบทบัญญัติแห่ง ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 136.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์จากสัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์ ศาลพิจารณาเจตนาคู่กรณีและพฤติการณ์เจ้าของเดิม
ที่พิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาโจทก์ ได้เอามาขายฝากโดยทำสัญญากันเองไว้แก่บิดามารดาจำเลย บิดามารดาจำเลยตายแล้วจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทเกิน 10 ปีแล้ว และเมื่อบิดามารดาโจทก์ตาย โจทก์ก็มิได้จัดการจดทะเบียนรับมฤดก ปล่อยให้ฝ่ายจำเลยครอบครองมาเกิน 10 ปี จนจำเลยได้มาร้องต่อศาลให้แสดงกรรมสิทธิว่าเป็นของจำเลย ศาลก็ได้สั่งแสดงกรรมสิทธิไปแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้นิติกรรมการขายฝากไม่สมบูรณ์ก็พึงเห็นเจตนาของคู่กรณีได้ว่า บิดามารดาโจทก์มอบที่ดินให้บิดามารดาจำเลยดังเช่นขาย แต่สงวนไว้เพียงสิทธิไถ่ถอน ฉะนั้นจะเรียกว่าบิดามารดาจำเลยยึดถือที่ดินไว้ในฐานผู้แทนผู้ครอบครองตามมาตรา 1381 ป.ม.แพ่งยังไม่ได้ กรณีเช่นนี้เรียกได้ว่า บิดามารดาจำเลยเข้าครอบครองเพื่อตนโดยอาศัยการอนุญาตของเจ้าของ จึงมีปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาว่าฝ่ายจำเลยได้ครอบครองมาโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาจนเกิน 10 ปีหรือไม่ การที่จะแสวงหาความจริงข้อนี้ ต้องพิเคราะห์กิริยาอาการของฝ่ายโจทก์ผู้มอบที่ดินให้นั้นด้วย เพราะถ้าเจ้าของเดิมไม่แสดงอาการเป็นเจ้าของเกี่ยวข้องกับที่นั้นเลย สละละทิ้งไปจนเกินเวลาอันสมควรแล้ว ก็พึงเห็นเจตนาของคู่กรณีได้ว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมให้ฝ่ายครอบครอบทำการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเพื่อผู้ครอบครองนั้นเองตั้งแต่ต้นมาทั้งนี้ได้เคยมีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วว่าทำสัญญากันเองเป็นทำนองขายฝากนั้นเจ้าของเดิมจะมาฟ้องเอาที่คืนโดยอ้างข้อสัญญาที่ให้ไถ่นั้นหาได้ไม่ (ฎีกาที่ 5/2465, 352/2492) สำหรับคดีนี้โจทก์จะชนะคดีได้ก็ด้วยการแสดงว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าตามข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แต่คดีนี้โจทก์อ้างว่าโจทก์ยังคงแสดงสิทธิเป็เจ้าของอยู่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานเสียนั้นยังไม่สมควร จึงต้องพิพากษายก ให้ศาลชั้นต้นดำเนินพิจารณา