พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 442/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัยการไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าไถ่ในคดีรับของโจร - เหตุไม่ใช่ความเสียหายโดยตรงของผู้เสียหาย
ในคดีเรื่องรับของโจร อัยการไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับของโจรให้คืนเงินค่าไถ่ทรัพย์แทนผู้เสียหาย เพราะมิใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดฐานรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420-421/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาของผู้ตาย: ภรรยาฟ้องแทนสามีที่ประมาทเองไม่ได้
ภรรยาเข้าเป็นโจทก์แทนสามีซึ่งถึงแก่ความตายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาททำให้สามีโจทก์และคนอื่นถึงแก่ความตาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคนตายเพราะรถชนกันจากความประมาทของจำเลยและสามีโจทก์ด้วยกันแล้ว สามีโจทก์จึงเป็นผู้กระทำผิดฐานขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้คนตายอันจะต้องรับโทษทางอาญาด้วยผู้หนึ่ง จึงไม่เป็นผู้เสียหาย โจทก์ฟ้องจำเลยได้ก็โดยเข้าฟ้องแทนสามีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) เมื่อสามีไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีของไวยาวัจกร: หนังสือมอบอำนาจต้องปิดอากรแสตมป์
ไวยาวัจกรฟ้องคดีในนามของวัดผู้เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท โดยอาศัยหนังสือซึ่งเจ้าอาวาสวัดแต่งตั้งให้เป็นไวยาวัจกรมีอำนาจหน้าที่จัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของวัดและดำเนินคดีแทนวัดหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร เมื่อไม่ปิดอากรแสตมป์ไวยาวัจกรก็ไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีของไวยาวัจกรต้องมีเอกสารมอบอำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมาย (ปิดอากรแสตมป์) จึงจะสมบูรณ์
ไวยาวัจกรฟ้องคดีในนามของวัดผู้เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทโดยอาศัยหนังสือซึ่งเจ้าอาวาสวัดแต่งตั้งให้เป็นไวยาวัจกรมีอำนาจหน้าที่จัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของวัดและดำเนินคดีแทนวัดหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรเมื่อไม่ปิดอากรแสตมป์ไวยาวัจกรก็ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาและการป้องกันตนเอง
ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาต่อกันแต่ถ้าความผิดที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำนั้นมิใช่เป็นความผิดอันเดียวกันหรือที่ก่อขึ้นด้วยกันหากแต่ต่างคนต่างกระทำในวาระต่างกันแล้วโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีได้
การอ้างสิทธิป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 นั้นจะต้องเป็นการป้องกันภยันตรายที่ใกล้จะถึงซึ่งจะบังเกิดขึ้นแก่จำเลย
การอ้างสิทธิป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 นั้นจะต้องเป็นการป้องกันภยันตรายที่ใกล้จะถึงซึ่งจะบังเกิดขึ้นแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา กรณีแจ้งความเท็จทำให้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า มูลเดิมโจทก์เป็นผู้เสียหายไในคดีอาญาฐานพยายามฆ่าโจทก์ จำเลยเป็นพยานในชั้นสอบสวน โดยชั้นแรกให้การว่าเห็นนายยุงหรือพยุงผู้ต้องหายกปืนขึ้นประทับอกเล็งจ้องมาทางโจทก์ ต่อมาจำเลยแจ้งความเท็จโดยให้การต่อพนังานสอบสวนว่า ข้าฯไม่เห็นนายยุงหรือพยุงยกปืนขึ้นประทับบ่าหรือเล็งจ้องมาทางพันตำรวจเอกพระกล้า ฯ(ใจพล) แต่อย่างไรเห็นแต่นายยุงถือปืนทำท่าจะลงเรือเท่านั้น พันตำรวจเอกพระกล้าฯ บอกให้ข้าพเจ้าให้การ ดังนั้น ข้าฯมีความเกรงใจเพราะเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงให้การคล้อยตามไป อันเป็นเท็จ ทำให้โจทก์เสียหายโดยพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ปล่อยนายยุงหรือพยุงไปเป็นเหตุให้คนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ ขอให้ลงโทษตามมาตรา 137,172,200 ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ดังฟ้อง ก็นับว่าโจทก์ได้รับความเสียหายด้วยคนหนึ่ง จึงมีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงต้องดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิจารณาสั่งไปตามกระบวนความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้เสียหายจากการแจ้งความเท็จในคดีอาญาและการเชื่อมโยงความเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่า มูลเดิมโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาฐานพยายามฆ่าโจทก์จำเลยเป็นพยานในชั้นสอบสวนโดยชั้นแรกให้การว่าเห็นนายยุงหรือพยุงผู้ต้องหายกปืนขึ้นประทับอกเล็งจ้องมาทางโจทก์ต่อมาจำเลยแจ้งความเท็จโดยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ข้าฯไม่เห็นนายยุงหรือพยุงยกปืนขึ้นประทับบ่าหรือเล็งจ้องมาทางพันตำรวจเอกพระกล้าฯ โจทก์แต่อย่างไร เห็นแต่นายยุงถือปืนทำท่าจะลงเรือเท่านั้นพันตำรวจเอกพระกล้าฯ บอกให้ข้าพเจ้าให้การดังนั้น ข้าฯมีความเกรงใจเพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงให้การคล้อยตามไปอันเป็นเท็จ ทำให้โจทก์เสียหายโดยพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ปล่อยนายยุงหรือพยุงไป เป็นเหตุให้คนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 137,172,200 ดังนี้หากข้อเท็จจริงฟังได้ดังฟ้อง ก็นับว่าโจทก์ได้รับความเสียหายด้วยคนหนึ่ง จึงมีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงต้องดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิจารณาสั่งไปตามกระบวนความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาแจ้งเท็จ: กรณีคู่สมรสไม่จดทะเบียนสมรส และการพิสูจน์ความเป็นบิดา
โจทก์สามีแต่งงานอยู่กินกันกับจำเลยหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระหว่างอยู่ด้วยกันเกิดบุตร 1 คน จำเลยได้แจ้งความต่อนายทะเบียนท้องถิ่นว่า เด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยและใช้ชื่อบุคคลอื่นว่าเป็นบิดาของเด็ก ดังนี้ โจทก์ผู้เป็นสามีจะฟ้องจำเลยภริยานั้น ว่าบังอาจแจ้งความเท็จเพื่อให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความเป็นบิดาเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์แต่งงานอยู่กินกันกับจำเลยหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระหว่างอยู่ด้วยกันเกิดบุตร 1 คน จำเลยได้แจ้งความต่อนายทะเบียนท้องถิ่นว่า เด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยและใช้ชื่อบุคคลอื่นว่าเป็นบิดาของเด็ก ดังนี้ โจทก์ผู้เป็นสามีจะฟ้องจำเลยภริยานั้น ว่าบังอาจแจ้งความเท็จ เพื่อให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1008/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีเงินได้: เงินที่นายจ้างจ่ายแทนลูกจ้าง ไม่ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)(2) และโจทก์มีอำนาจฟ้อง
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 5 นั้น เมื่อมูลกรณีเรื่องภาษีอากรในคดีเรื่องนี้อยู่ภายในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของจำเลย(กรมสรรพากร) โจทก์จึงฟ้องจำเลยได้
เงินค่าภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างไปนั้น ไม่ใช่เป็นเงินอันพึงประเมินภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา40(1)(2)
เงินค่าภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างไปนั้น ไม่ใช่เป็นเงินอันพึงประเมินภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา40(1)(2)