พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099-1147/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาว่าการเช่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือไม่ ต้องดูเจตนาคู่สัญญาและเหตุแวดล้อมประกอบ
ตามบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2) 2490 มาตรา 3 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า กฎหมายประสงค์จะคุ้มครองการเช่าอันใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่าจะใช้เป็นที่ประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรม ด้วยเป็นส่วนประธาน หรืออุปกรณ์ และในทางกลับกัน จะเห็นได้ว่า กฎหมายมิได้มุ่งคุ้มครองการเช่าเพื่อประกอบธุรกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรม โดยคู่สัญญามิได้มีเจตนาใช้เป็นที่อยู่อาศัย เพราะฉะนั้น ในการที่จะพิจารณาว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างใดจะเข้าอยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ดังกล่าวแล้วหรือไม่ จะถือเอาการปฏิบัติของผู้เช่าฝ่ายเดียวเป็นข้อวินิจฉัยหาพอไม่ และตามถ้อยคำแห่งบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ก็มิได้บัญญัติคำว่า "ผู้เช่า" ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฉะนั้นการที่จะดูแต่เพียงว่า ผู้เช่าอาศัยอยู่ในเคหะนั้นหรือไม่แต่อย่างเดียวยังไม่พอกับความประสงค์ของกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาที่ทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุแวดล้อมอื่น ๆ เช่น สภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง และการปฏิบัติของคูสัญญาแต่ละฝ่าย เหล่านี้รวมกันว่า การที่เช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
การที่ผู้เช่าอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่ เพราะจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด กล่าวคือ อยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" หรือเพียงแต่อยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมในสิ่งปลูกสร้างที่เช่ามา เช่นการเช่าโรงเลื่อยโรงสีเพื่อประกอบการอุตสาหกรรม โดยผู้เช่าเข้าไปอยู่ในโรงเลื่อยหรือโรงสีนั้น เพื่อควบคุมดำเนินกิจการเช่นนี้ ฟังว่าเป็นการเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยย่อมไม่ได้
การที่ผู้เช่าอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่ เพราะจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด กล่าวคือ อยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" หรือเพียงแต่อยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมในสิ่งปลูกสร้างที่เช่ามา เช่นการเช่าโรงเลื่อยโรงสีเพื่อประกอบการอุตสาหกรรม โดยผู้เช่าเข้าไปอยู่ในโรงเลื่อยหรือโรงสีนั้น เพื่อควบคุมดำเนินกิจการเช่นนี้ ฟังว่าเป็นการเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยย่อมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099-1147/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเพื่ออยู่อาศัย: พิจารณาเจตนาคู่สัญญาและเหตุผลแวดล้อมประกอบการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ตามบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2)2490 มาตรา 3ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า กฎหมายประสงค์จะคุ้มครองการเช่าอันใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่าจะใช้เป็นที่ประกอบธุรกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมด้วยเป็นส่วนประธาน หรืออุปกรณ์ และในทางกลับกัน จะเห็นได้ว่ากฎหมายมิได้มุ่งคุ้มครองการเช่าเพื่อประกอบธุรกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมโดยคู่สัญญามิได้มีเจตนาใช้เป็นที่อยู่อาศัย เพราะฉะนั้นในการที่จะพิจารณาว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างใดจะเข้าอยู่ในบังคับแห่ง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯดังกล่าวแล้วหรือไม่จะถือเอาการปฏิบัติของผู้เช่าฝ่ายเดียวเป็นข้อวินิจฉัยหาพอไม่ และตามถ้อยคำแห่งบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ก็มิได้บัญญัติคำว่า "ผู้เช่า" ใช้เป็นที่อยู่อาศัยฉะนั้นการที่จะดูแต่เพียงว่าผู้เช่าอาศัยอยู่ในเคหะนั้นหรือไม่แต่อย่างเดียวยังไม่พอกับความประสงค์ของกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาที่ทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ เช่นสภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง และการปฏิบัติของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย เหล่านี้รวมกันว่าการที่เช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
การที่ผู้เช่าอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่ เพราะจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด กล่าวคือ อยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" หรือเพียงแต่ว่าอยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบธุรกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมในสิ่งปลูกสร้างที่เช่ามา เช่นการเช่าโรงเลื่อยโรงสีเพื่อประกอบการอุตสาหกรรม โดยผู้เช่าเข้าไปอยู่ในโรงเลื่อยหรือโรงสีนั้นเพื่อควบคุมดำเนินกิจการ เช่นนี้จะฟังว่าเป็นการเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยย่อมไม่ได้
การที่ผู้เช่าอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่ เพราะจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด กล่าวคือ อยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" หรือเพียงแต่ว่าอยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบธุรกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมในสิ่งปลูกสร้างที่เช่ามา เช่นการเช่าโรงเลื่อยโรงสีเพื่อประกอบการอุตสาหกรรม โดยผู้เช่าเข้าไปอยู่ในโรงเลื่อยหรือโรงสีนั้นเพื่อควบคุมดำเนินกิจการ เช่นนี้จะฟังว่าเป็นการเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยย่อมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสวมหมวกตำรวจโดยไม่มีเจตนาแอบอ้างยศบรรดาศักดิ์ ไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 128
ความในมาตรา 128 แห่ง ก.ม.ลักษณะอาญา เป็นเรื่องแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์ โดยประสงค์ให้เขาเชื่อถือว่าเป็นผู้มียศบรรดาศักดิ์
จำลยสวมหมวกตำรวจโดยประสงค์จะให้เขาเชื่อถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่เป็นผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา 128.
จำลยสวมหมวกตำรวจโดยประสงค์จะให้เขาเชื่อถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่เป็นผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา 128.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1079/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดจำนวนฝิ่นเกินจริงและการแก้ไขบัญชี การพิสูจน์เจตนาสำคัญต่อความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จดจำนวนฝิ่นที่ร้านค้าต้องการซื้อจากรัฐบาล ลงในแบบ ฝ.1/23 โจทก์หาว่าจำเลยจดจำนวนฝิ่นเป็นความเท็จลงในแบบ ฝ.1/23 เกินจากจำนวนที่ร้านค้าประสงค์จะซื้อ แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงจำนวนฝิ่นที่ร้านค้าประสงค์จะซื้อ จึงลงโทษจำเลยฐานนี้ไม่ได้
การที่จำเลยเขียนตัวเลขในบัญชีแบบ ฝ.1/23 ซึ่งจำเลยมีหน้าที่เป็นผู้ลงบัญชี โจทก์หาว่าจำเลยปลอมโดยแก้ไขข้อความ 2 แห่ง คือ ขีดฆ่าเลข 8 เขียนทับเป็นเลข 16 แห่งหนึ่ง และอีกแห่งหนึ่งขีดฆ่าเลข 7 ออก เขียนเลข 15 ลงไปแทน การกระทำทั้งนี้ อาจเป็นความผิดฐานปลอมหนังสือก็ได้ ถ้าการขีดฆ่าแก้ไขอยู่ในอำนาจของจำเลยที่จะกระทำลงไป และการกระทำลงไปโดยเจตนาปลอมให้ผู้อื่นหลงว่า เป็นของแท้ ถ้าการขีดฆ่าแก้ไขอยู่ในอำนาจของจำเลยที่จะกระทำลงไป จำเลยไม่เจตนาปลอม แล้วการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นการปลอมหนังสือ การนำสืบไม่ปรากฏว่า การขีดฆ่าไม่อยู่ในอำนาจของจำเลย กลับปรากฏว่า การขีดฆ่าทำอย่างไม่เจตนาพลางใคร การกระทำของจำเลยจึงไม่ผิดฐานปลอมหนังสือ
การที่จำเลยเขียนตัวเลขในบัญชีแบบ ฝ.1/23 ซึ่งจำเลยมีหน้าที่เป็นผู้ลงบัญชี โจทก์หาว่าจำเลยปลอมโดยแก้ไขข้อความ 2 แห่ง คือ ขีดฆ่าเลข 8 เขียนทับเป็นเลข 16 แห่งหนึ่ง และอีกแห่งหนึ่งขีดฆ่าเลข 7 ออก เขียนเลข 15 ลงไปแทน การกระทำทั้งนี้ อาจเป็นความผิดฐานปลอมหนังสือก็ได้ ถ้าการขีดฆ่าแก้ไขอยู่ในอำนาจของจำเลยที่จะกระทำลงไป และการกระทำลงไปโดยเจตนาปลอมให้ผู้อื่นหลงว่า เป็นของแท้ ถ้าการขีดฆ่าแก้ไขอยู่ในอำนาจของจำเลยที่จะกระทำลงไป จำเลยไม่เจตนาปลอม แล้วการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นการปลอมหนังสือ การนำสืบไม่ปรากฏว่า การขีดฆ่าไม่อยู่ในอำนาจของจำเลย กลับปรากฏว่า การขีดฆ่าทำอย่างไม่เจตนาพลางใคร การกระทำของจำเลยจึงไม่ผิดฐานปลอมหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1063/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งตัวแทนและการแสดงเจตนา: ความแตกต่างระหว่างการตั้งตัวแทนจริงกับการแสดงออกให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
มาตรา 798 ที่บัญญัติว่า การตั้งตัวแทนต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ สำหรับกิจการที่ท่านบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นเป็นกรณีสำหรับการที่บุคคลกระทำการตั้งตัวแทนโดยมีการตกลงกันระหว่างตัวการและตัวแทนเช่นนั้นจริงๆ
ส่วนมาตรา 821 นั้นเป็นกรณีที่มิได้มีการตั้งตัวแทนกันโดยจริงจังแต่ว่าเป็นกรณีที่บุคคลหนึ่งแสดงออกต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต หรือยอมให้บุคคลอีกบุคคลหนึ่งแสดงออกต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตนั้น ให้เขาหลงเชื่อว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน กฎหมายจึงบัญญัติให้บุคคลซึ่งแสดงออกหรือยอมให้เขาแสดงออกซึ่งความไม่จริงนั้น ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต เสมือนหนึ่งว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน
ฉะนั้นในกรณีที่บุคคลภายนอกฟ้องร้องจำเลยให้ต้องรับผิดในการกระทำอันไม่เป็นจริงของจำเลย โดยการเชิดผู้อื่นให้เขาหลงเชื่อว่าเป็นตัวแทนของตนแล้ว จำเลยจะอ้างมาตรา 798 มาแก้ตัวให้พ้นจากความรับผิดไม่ได้
ส่วนมาตรา 821 นั้นเป็นกรณีที่มิได้มีการตั้งตัวแทนกันโดยจริงจังแต่ว่าเป็นกรณีที่บุคคลหนึ่งแสดงออกต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต หรือยอมให้บุคคลอีกบุคคลหนึ่งแสดงออกต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตนั้น ให้เขาหลงเชื่อว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน กฎหมายจึงบัญญัติให้บุคคลซึ่งแสดงออกหรือยอมให้เขาแสดงออกซึ่งความไม่จริงนั้น ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต เสมือนหนึ่งว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน
ฉะนั้นในกรณีที่บุคคลภายนอกฟ้องร้องจำเลยให้ต้องรับผิดในการกระทำอันไม่เป็นจริงของจำเลย โดยการเชิดผู้อื่นให้เขาหลงเชื่อว่าเป็นตัวแทนของตนแล้ว จำเลยจะอ้างมาตรา 798 มาแก้ตัวให้พ้นจากความรับผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนบัตรปลอม: เจตนาจำหน่ายและซุกซ่อนเพื่อจำหน่ายเป็นเหตุให้มีความผิด
พยานโจทก์ในคดีที่หาว่าจำเลยมีและจำหน่ายธนบัตรปลอมให้การว่าธนบัตรปลอมที่จับได้จากจำเลยนั้น เป็นของพยาน ดังนี้ พยานผู้นั้นย่อมถูกฟ้องหาว่าสมคบกับจำเลยในคดีนั้นอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าคนตายโดยเจตนาจากการแทงด้วยอาวุธมีด ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษ
จำเลยใช้มีดปลายแปลมแทงผู้ตายในที่สำคัญโดยแรงจนทะลุลำไส้ขาด เป็นการที่อาจเห็นผลได้ว่า จะทำให้ผู้ตายถึงตาย และผู้ตายก็ได้ขาดใจตายในคืนนั้นเอง จำเลยจึงต้องมีผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในความผิดอาญาเกี่ยวกับวัตถุระเบิด การครอบครองโดยไม่รู้ว่าเป็นวัตถุระเบิดไม่ถือเป็นความผิด
เจตนาตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 43 หมายถึงอาชญาเจตนาซึ่งเป็นเจตนาอันควรรับอาญา
พ.ร.บ.อาวุธปืน, เครื่องกระสุนฯลฯ 2471 มิได้มีบทบัญญัติยกเว้นในเรื่องเจตนาไว้เป็นพิเศษ จึงต้องถือหลักเจตนาตามที่บัญญัติไว้ใน ก.ม.ลักษณะอาญา ม. 43 ซึ่งมาตรา 11 ให้นำมาใช้บังคับได้
มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ทราบว่าเป็นวัตถุระเบิด ยังไม่มีความผิดเพราะไม่มีอาชญาเจตนา.
พ.ร.บ.อาวุธปืน, เครื่องกระสุนฯลฯ 2471 มิได้มีบทบัญญัติยกเว้นในเรื่องเจตนาไว้เป็นพิเศษ จึงต้องถือหลักเจตนาตามที่บัญญัติไว้ใน ก.ม.ลักษณะอาญา ม. 43 ซึ่งมาตรา 11 ให้นำมาใช้บังคับได้
มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ทราบว่าเป็นวัตถุระเบิด ยังไม่มีความผิดเพราะไม่มีอาชญาเจตนา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในความผิดอาญาเกี่ยวกับอาวุธระเบิด: การครอบครองโดยไม่รู้ว่าเป็นวัตถุระเบิด ไม่เป็นความผิด
เจตนาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 43 หมายถึงอาชญาเจตนาซึ่งเป็นเจตนาอันควรรับอาญา
พ.ร.บ.อาวุธปืน, เครื่องกระสุน ฯลฯ 2471 มิได้มีบทบัญญัติยกเว้นในเรื่องเจตนาไว้เป็นพิเศษ จึงต้องถือหลักเจตนาตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 43 ซึ่งมาตรา11 ให้นำมาใช้บังคับได้
มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ทราบว่าเป็นวัตถุระเบิด ยังไม่มีความผิดเพราะไม่มีอาชญาเจตนา
พ.ร.บ.อาวุธปืน, เครื่องกระสุน ฯลฯ 2471 มิได้มีบทบัญญัติยกเว้นในเรื่องเจตนาไว้เป็นพิเศษ จึงต้องถือหลักเจตนาตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 43 ซึ่งมาตรา11 ให้นำมาใช้บังคับได้
มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ทราบว่าเป็นวัตถุระเบิด ยังไม่มีความผิดเพราะไม่มีอาชญาเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกหุ้นส่วนและการยักยอกทรัพย์สินร่วม ศาลฎีกาเห็นว่าขาดเจตนายักยอก
ผู้เป็นหุ้นส่วนตกลงเลิกหุ้นส่วนแบ่งทุนและกำไรกันทรัพย์สินที่ใช้ในกิจการของหุ้นส่วนก็เอามาตีราคาแบ่งกันแล้ว แม้ผู้เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งจะยังคงครอบครองทรัพย์สินนั้นไว้ต่อไปอีก ถ้าหากมีเจตนาทุจจริตเบียดบังเอาทรัพย์นั้น ก็อาจมีความผิดฐานยักยอก.