พบผลลัพธ์ทั้งหมด 483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957-958/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทคูเขตแดน - สันนิษฐานเจ้าของร่วมตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 1344
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องคูที่กั้นเขตระหว่างที่ว่าเป็นของตนแต่นำสืบให้เห็นโดยชัดเจนไม่ได้ว่าเป็นของใคร
ก็ต้องใช้บทสันนิษฐานของประมวลแพ่งฯ มาตรา1344 คือถือว่าคู่ความเป็นเจ้าของคูร่วมกันตัดสินให้เป็นเจ้าของคนละครึ่ง
ก็ต้องใช้บทสันนิษฐานของประมวลแพ่งฯ มาตรา1344 คือถือว่าคู่ความเป็นเจ้าของคูร่วมกันตัดสินให้เป็นเจ้าของคนละครึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1723/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญากู้เป็นหลักฐานรับรองการรับเงินครบถ้วน จำเลยมิอาจต่อสู้ภายหลังได้
โจทก์มีเอกสารสัญญากู้เป็นหลักฐานปรากฏชัดเจนในจำนวนเงินที่กู้ (เกินกว่า 50 บาท) และระบุว่าได้รับเงินไปครบถ้วนถูกต้องแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ว่าสัญญากู้นี้เป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ด้วยประการใดๆ จำเลยจะนำสืบว่ารับเงินกู้ไปไม่ครบจำนวนดังข้อความตามสัญญากู้นั้นหาได้ไม่ เป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานนอกเหนือจากเอกสารสัญญา: กรณีตัวการ-ตัวแทน
กรณีที่จะต้องห้ามตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 (ข) นั้น ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องนำพยานเอกสารมาแสดงในกรณีเช่นว่านี้จะขอนำสืบเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารนั้นไม่ได้
แต่การขอสืบความจริงสำหรับกรณีอื่น เช่น ระหว่างตัวการกับตัวแทน ไม่เกี่ยวแก่การบังคับหรือไม่บังคับนิติกรรมนั้นอย่างไร แม้ข้อเท็จจริงจะต้องแตกต่างไปจากที่ปรากฎในหนังสือ ก็ย่อมนำสืบได้
โจทก์ขอสืบความจริงว่าโจทก์โอนที่ดินให้จำเลยไปจัดการแบ่งปันให้ทายาทตามเหตุผลในฟ้องเป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทนซึ่งเป็นลักษณะส่วนหนึ่งแห่งกฎหมายนั้น เป็นการนำสืบในกรณีอีกส่วนหนึ่งต่างหาก โจทก์ย่อมนำสืบได้
(อ้างฎีกาที่ 838/2493)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2500)
แต่การขอสืบความจริงสำหรับกรณีอื่น เช่น ระหว่างตัวการกับตัวแทน ไม่เกี่ยวแก่การบังคับหรือไม่บังคับนิติกรรมนั้นอย่างไร แม้ข้อเท็จจริงจะต้องแตกต่างไปจากที่ปรากฎในหนังสือ ก็ย่อมนำสืบได้
โจทก์ขอสืบความจริงว่าโจทก์โอนที่ดินให้จำเลยไปจัดการแบ่งปันให้ทายาทตามเหตุผลในฟ้องเป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทนซึ่งเป็นลักษณะส่วนหนึ่งแห่งกฎหมายนั้น เป็นการนำสืบในกรณีอีกส่วนหนึ่งต่างหาก โจทก์ย่อมนำสืบได้
(อ้างฎีกาที่ 838/2493)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องการแบ่งที่ดิน เจ้าของรวมตกลงแบ่งแยกไม่เป็นผล ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
ปรากฏตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยโจทก์ตกลงแบ่งแยกที่ดินกันแล้วแต่ครั้นเวลานำเจ้าพนักงานไปรังวัดกลับรังวัดเปลี่ยนทิศทางไปเสียไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ ฝ่ายจำเลยว่าไม่ได้รังวัดผิดทิศทางเดิม รังวัดไปตามข้อตกลงแต่เพราะการรังวัดแบ่งแยกเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรื้อครัวไฟ ปรากฏตามคำแถลงคู่ความรับกันว่าจำเลยมีสิทธิครึ่งหนึ่งในที่พิพาท อีกครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ทั้งสองเรือนโจทก์ปลูกมา 10 ปีแล้ว การแบ่งตามที่จำเลยว่าจะต้องผ่ากลางห้องทิศตะวันออกและครัวทั้งหลังของโจทก์ไปโจทก์ว่าที่ลงนามยินยอมแบ่งเพราะเข้าใจผิดไปว่าเป็นไปตามคำขอเดิม คือไม่ต้องรื้อเรือนและว่าตามคำขอเดิมและคำขอใหม่โจทก์จำเลยได้ที่เปลี่ยนทิศทางไปหมด เช่นนี้ถือว่าฟ้องโจทก์และคำให้การของจำเลยโต้แย้งกันอยู่อย่างตรงกันข้ามในเรื่องการตกลงใหม่และการรังวัดแบ่งแยกเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไม่ประการใดทั้งคำแถลงของคู่ความยังไม่มีอะไรเพียงพอที่จะชี้ขาดพิพากษาคดีเรื่องนี้ได้ ศาลไม่ควรด่วนสั่งงดสืบพยานเพราะคดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า โจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันเป็นสัญญาหรือไม่อย่างไรแน่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องการแบ่งแยกที่ดิน เจ้าของร่วมตกลงกันหรือไม่เป็นสาระสำคัญในการวินิจฉัย
ปรากฏตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยโจทก์ตกลงแบ่งแยกที่ดินกันแล้วแต่ครั้นเวลานำเจ้าพนักงานไปรังวัดกลับรังวัดเปลี่ยนทิศทางไปเสียไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ฝ่ายจำเลยว่าไม่ได้รังวัดผิดทิศทางเดิมรังวัดไปตามข้อตกลงแต่เพราะการรังวัดแบ่งแยกเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรื้อครัวไฟปรากฏตามคำแถลงคู่ความรับกันว่าจำเลยมีสิทธิครึ่งหนึ่งในที่พิพาทอีกครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ทั้งสองเรือนโจทก์ปลูกมา 10ปีแล้ว การแบ่งตามที่จำเลยว่าจะต้องผ่ากลางห้องทิศตะวันออกและครัวทั้งหลังของโจทก์ไปโจทก์ว่าที่ลงนามยินยอมแบ่งเพราะเข้าใจผิดไปว่าเป็นไปตามคำขอเดิม คือไม่ต้องรื้อเรือนและว่าตามคำขอเดิมและคำขอใหม่โจทก์จำเลยได้ที่เปลี่ยนทิศทางไปหมดเช่นนี้ถือว่าฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยโต้แย้งกันอยู่อย่างตรงกันข้ามในเรื่องการตกลงใหม่และการรังวัดแบ่งแยกเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไม่ประการใดทั้งคำแถลงของคู่ความยังไม่มีอะไรเพียงพอที่จะชี้ขาดพิพากษาคดีเรื่องนี้ได้ศาลไม่ควรด่วนสั่งงดสืบพยานเพราะคดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันเป็นสัญญาหรือไม่อย่างไรแน่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์พิพาท: การเก็บสะตอจากที่ดินที่มีข้อพิพาท ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์
การที่จำเลยเก็บผักสะตอในที่ซึ่งผู้เสียหายและจำเลยยังเถียงกรรมสิทธิ์ในเรื่องที่ดินและต้นสะตอรายนี้อยู่นั้นย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยเก็บสะตอไปโดยการทุจริตอันเป็นผิดฐานลักทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์นาและการลักทรัพย์: ศาลฎีกายืนยกฟ้องเนื่องจากขาดเจตนาทุจริต
ได้ความว่าโจทก์หาว่าจำเลยสมคบกันลักเกี่ยวข้าวในนาของผู้เสียหายหายไปแต่ปรากฏว่านาที่จำเลยเก็บเกี่ยวข้าวไปเป็นนามือเปล่า ผู้เสียหายถือว่าเป็นของตนโดยได้รับมรดกตกทอดมาจากบิดาผู้เสียหายและพรรพวกได้ทำมา ฝ่ายจำเลยก็ถือว่าเป็นของตนโดยได้ทำนิติกรรมที่อำเภอซื้อมาจากพวกจำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่ายจะได้ทำนารายนี้ตรงไหนและจะล้ำเหลื่อมกันอย่างไรไม่ได้ความชัด พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวต่างก็แย่งกันเก็บเกี่ยวและไปร้องต่อเจ้าพนักงานว่าอีกฝ่ายหนึ่งลักข้าวของตน เพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตลักเกี่ยวข้าวไปตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์นาและเจตนาทุจริต: ศาลยกฟ้องคดีลักทรัพย์เนื่องจากความไม่ชัดเจนของกรรมสิทธิ์และขาดเจตนา
ได้ความว่าโจทก์หาว่าจำเลยสมคบกันลักเกี่ยวข้าวในนาของผู้เสียหายไปแต่ปรากฏว่านาที่จำเลยเก็บเกี่ยวข้าวไปเป็นนามือเปล่าผู้เสียหายถือว่าเป็นของตนโดยได้รับมรดกตกทอดมาจากบิดาผู้เสียหายและพรรคพวกได้ทำมาฝ่ายจำเลยก็ถือว่าเป็นของตนโดยได้ทำนิติกรรมที่อำเภอซื้อมาจากพวกจำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่ายจะได้ทำนารายนี้ตรงไหนและจะล้ำเหลื่อมกันอย่างไรไม่ได้ความชัด พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวต่างก็แย่งกันเก็บเกี่ยวและไปร้องต่อเจ้าพนักงานว่าอีกฝ่ายหนึ่งลักข้าวของตนเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตลักเกี่ยวข้าวไปตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 932/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อพิพาทเรื่องทางเดินต้องเป็นไปตามคำท้าของคู่ความ ศาลมิอาจนำเหตุอื่นมาวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดิน คู่ความท้ากันว่าให้ศาลไปตรวจดูที่พิพาทถ้าเห็นว่าที่พิพาทมีลักษณะและสภาพเป็นทางเดินมาก่อนหรือไม่ ? ถ้าเป็นจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เป็น โจทก์ยอมแพ้
เมื่อศาลไปตรวจและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า "แนวทางเดินเท้าจากต้นมะลุมหมายอักษร ล.ในแผนที่กลางก็มาจบกับปลายทางเกวียน หมายอักษร ข." เพียงเท่านี้ไม่ชัดเจนพอจะเข้าใจได้ว่ามีลักษณะและสภาพเป็นทางคนเดินมาแต่ก่อนตรงกับที่คู่ความท้ากันไว้หรือไม่ ข.ฉนั้นการที่ศาลยกเอาเหตุอื่น ๆ (นอกจากเหตุที่ท้ากันไว้)มาวินิจฉัยประกอบ(บันทึกที่ไม่ชัดนั้น) เพื่อให้เห็นว่าคนซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ย่อมต้องใช้ทางนี้เป็นทางเข้าออกมาแต่เดิมด้วยแล้วบังคับให้จำเลยเปิดทางคนเดินนั้น เป็นเรื่องนอกคำท้าของคู่ความ เป็นการไม่ชอบ
เมื่อศาลไปตรวจและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า "แนวทางเดินเท้าจากต้นมะลุมหมายอักษร ล.ในแผนที่กลางก็มาจบกับปลายทางเกวียน หมายอักษร ข." เพียงเท่านี้ไม่ชัดเจนพอจะเข้าใจได้ว่ามีลักษณะและสภาพเป็นทางคนเดินมาแต่ก่อนตรงกับที่คู่ความท้ากันไว้หรือไม่ ข.ฉนั้นการที่ศาลยกเอาเหตุอื่น ๆ (นอกจากเหตุที่ท้ากันไว้)มาวินิจฉัยประกอบ(บันทึกที่ไม่ชัดนั้น) เพื่อให้เห็นว่าคนซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ย่อมต้องใช้ทางนี้เป็นทางเข้าออกมาแต่เดิมด้วยแล้วบังคับให้จำเลยเปิดทางคนเดินนั้น เป็นเรื่องนอกคำท้าของคู่ความ เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งต้องมีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว ศาลไม่อนุญาตฟ้องแย้งเผื่อไว้
การเสนอคำฟ้องหรือคำฟ้องแย้งต่อศาลต้องมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้วเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตาม ก.ม.
การที่จำเลยให้การว่า การซื้อขายห้องพิพาท ระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิมเป็นการสมยอม โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญา เมื่อศาลยังมิได้ชี้ขาด อย่างใดจำเลยจะมาฟ้องแย้งว่า แม้เจ้าของเดิมทำสัญญาซื้อขายห้องพิพาทกับโจทก์โดยชอบ สัญญาเช่าห้องพิพาทที่เจ้าของเดิมทำให้จำเลยย่อมติดตามมาอยู่กับโจทก์ จำเลยยังได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ ขอให้บังคับโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าต่อไปตามสัญญาเช่าเดิมดังนี้ไม่ได้
การที่จำเลยให้การว่า การซื้อขายห้องพิพาท ระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิมเป็นการสมยอม โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญา เมื่อศาลยังมิได้ชี้ขาด อย่างใดจำเลยจะมาฟ้องแย้งว่า แม้เจ้าของเดิมทำสัญญาซื้อขายห้องพิพาทกับโจทก์โดยชอบ สัญญาเช่าห้องพิพาทที่เจ้าของเดิมทำให้จำเลยย่อมติดตามมาอยู่กับโจทก์ จำเลยยังได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ ขอให้บังคับโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าต่อไปตามสัญญาเช่าเดิมดังนี้ไม่ได้