คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6117/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีเพิ่มเติมหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด และการเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความ
แม้ที่ดินตามแผนที่พิพาทเส้นสีเขียวเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่พิพาทกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1278/2532 ของศาลชั้นต้น และคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดว่า โจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนแนวรั้วออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ต่อมาในชั้นบังคับคดีปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ทำการรื้อถอนรั้วออกไป แต่ยังส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพไม่เรียบร้อย เนื่องจากระหว่างพิจารณาคดีจำเลยทั้งสองได้ขุดดินออกไปจากที่ดินพิพาท รวมทั้งปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทบางส่วน ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองขุดดินออกไปจากที่ดินพิพาทและปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทบางส่วนในระหว่างพิจารณาคดีก่อน มูลคดีนี้จึงเกิดภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีดังกล่าวซึ่งโจทก์ไม่สามารถฟ้องมาในคราวเดียวกันได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 วรรคหนึ่ง
การที่จะเรียกบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความเข้ามาในคดีนั้นจะต้องแสดงเหตุว่า ตนอาจถูกฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดีตามป.วิ.พ.มาตรา 57 (3) วรรคสี่ แต่ตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกนายอำเภอเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยนั้น ได้ความแต่เพียงว่านายอำเภอเป็นผู้สอบสวนข้อเท็จจริงและห้ามโจทก์กับจำเลยถือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น กรณีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะเรียกนายอำเภอเข้ามาเป็นคู่ความในคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6117/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องรื้อถอนอาคารรุกล้ำที่ดินสาธารณประโยชน์หลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
แม้ที่ดินตามแผนที่พิพาทเส้นสีเขียวเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่พิพาทกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1278/2532 ของศาลชั้นต้น และคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดว่า โจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนแนวรั้วออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ต่อมาในชั้นบังคับคดีปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ทำการรื้อถอนรั้วออกไป แต่ยังส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพไม่เรียบร้อย เนื่องจากระหว่างพิจารณาคดีจำเลยทั้งสองได้ขุดดินออกไปจากที่ดินพิพาท รวมทั้งปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทบางส่วน ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองขุดดินออกไปจากที่ดินพิพาทและปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทบางส่วนในระหว่างพิจารณาคดีก่อน มูลคดีนี้จึงเกิดภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง เป็นคดีดังกล่าวซึ่งโจทก์ไม่สามารถฟ้องมาในคราวเดียวกันได้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 วรรคหนึ่ง การที่จะเรียกบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความเข้ามาในคดีนั้นจะต้องแสดงเหตุว่า ตนอาจถูกฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)วรรคสี่ แต่ตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกนายอำเภอเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยนั้น ได้ความแต่เพียงว่านายอำเภอเป็นผู้สอบสวนข้อเท็จจริงและห้ามโจทก์กับจำเลยถือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น กรณีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะเรียกนายอำเภอเข้ามาเป็นคู่ความในคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5641/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการบังคับคดีตามคำพิพากษาและการหักกลบลบหนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษาเดิม
การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังไปตามลำดับดังที่ระบุไว้ในคำพิพากษา เมื่อโจทก์เลือกที่จะรับโอนที่ดินพิพาทโจทก์จึงต้องชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา การที่โจทก์เลือกใช้วิธีถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 ในการโอนที่ดินพิพาทและโจทก์ได้เสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการโอนเองโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตกลงด้วยนั้นย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 และเป็นเรื่องนอกคำพิพากษา ฉะนั้นหากโจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะขอหักกลบลบหนี้ทำให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่
โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะร้องขอให้หักกลบลบหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีคำพิพากษาของศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์เสียก่อน ลำพังแต่เพียงระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายออกค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนโดยจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งจำนวนหนี้อยู่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลงดจ่ายเงินค่าที่ดินตามคำพพากษาที่วางต่อศาลให้แก่จำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงชอบที่จะรับเงินค่าที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาที่โจทก์วางชำระไว้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5641/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บังคับคดีตามคำพิพากษาต้องเป็นไปตามลำดับที่กำหนด หักกลบลบหนี้ไม่ได้หากไม่ใช่หนี้ตามคำพิพากษา
การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังไปตามลำดับดังที่ระบุไว้ในคำพิพากษา การที่โจทก์เลือกใช้วิธีถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1ในการโอนที่ดินพิพาทโดยโจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆในการโอนเป็นเงิน 36,879,705 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตกลงด้วยนั้น ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 อีกทั้งเป็นเรื่องนอกคำพิพากษา เพราะในคำพิพากษาไม่ปรากฏให้จำเลยที่ 1จะต้องรับผิดค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ฉะนั้น หากโจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะขอหักกลบลบหนี้ทำให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะการที่โจทก์จะร้องขอให้หักกลบลบหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีคำพิพากษา ของศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์เสียก่อน ลำพังแต่เพียงระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายออกค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนตามข้อฎีกาของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งจำนวนหนี้อยู่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลงดจ่ายเงินที่วางต่อศาลให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและชอบที่จะรับเงินค่าที่ดินที่โจทก์วางชำระไว้จำนวน 14,077,000 บาท ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5641/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการบังคับคดีตามคำพิพากษา: ชำระเงินก่อนรับโอน, หักกลบลบหนี้ต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุด
การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังไปตามลำดับดังที่ระบุไว้ในคำพิพากษาเมื่อโจทก์เลือกที่จะรับโอนที่ดินพิพาทโจทก์จึงต้องชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา การที่โจทก์เลือกใช้วิธีถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 ในการโอนที่ดินพิพาท และโจทก์ได้เสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการโอนเองโดย จำเลยที่ 1 ไม่ได้ตกลงด้วยนั้นย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 และเป็นเรื่องนอกคำพิพากษา ฉะนั้นหากโจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจะขอหักกลบลบหนี้ทำให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่ โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะร้องขอให้หักกลบลบหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีคำพิพากษาของศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์เสียก่อน ลำพังแต่เพียงระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายออกค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนโดยจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งจำนวนหนี้อยู่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลงดจ่ายเงินค่าที่ดินตามคำพิพากษาที่วางต่อศาลให้แก่จำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 1เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงชอบที่จะรับเงินค่าที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาที่โจทก์วางชำระไว้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5610/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้เงินที่มีการแก้ไขภายหลัง และผลของการไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 30,000 บาท และจำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินโดยยังไม่ได้กรอกข้อความ แต่มีการกรอกข้อความและจำนวนเงินขึ้นภายหลัง โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมหนังสือสัญญากู้เงินจึงเป็นเอกสารปลอม แต่อย่างไรก็ตามคดีนี้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกทั้งจำเลยฎีกาขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยถึง ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ 230,000 บาท เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5352/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องขับไล่บนที่ดินพิพาทที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ถือเป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
เมื่อปี 2517 โจทก์ฟ้องขับไล่สามีจำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 2021 ของโจทก์ซึ่งให้สามีจำเลยเช่า สามีจำเลยต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สามีจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ ไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดดังกล่าว ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของสามีจำเลย และอยู่นอกเขตโฉนดเลขที่ 2021โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์ การที่โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ออกจากที่ดินพิพาทอีกนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยในคดีนี้เป็นภรรยาของจำเลยในคดีก่อนและได้ร่วมครอบครองที่ดินพิพาทกับจำเลยในคดีก่อนตลอดมาจนกระทั่งจำเลยในคดีก่อนถึงแก่ความตาย จากนั้นจำเลยในคดีนี้ได้ครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อมา จำเลยในคดีนี้จึงเป็นผู้สืบสิทธิจากจำเลยในคดีก่อน ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามข้อตกลงแบ่งแยกที่ดินหลังมีคำพิพากษาคดีก่อน ไม่เป็นข้อหาเดิม
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวร่วมกัน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า หลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีก่อนแล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ขอให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยให้การว่า หลังจากศาลพิพากษาในคดีก่อนแล้วในวันนั้นโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันโดยโจทก์ครอบครองที่ดินซีกทางด้านทิศใต้เพราะปลูกบ้านอยู่ก่อนแล้ว ส่วนจำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทซีกด้านทิศเหนือ แต่บ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์อ้างว่า ตามข้อตกลงให้จำเลยรื้อถอนออกไปเพราะขวางทางเข้าออกของโจทก์นั้น จำเลยไม่สามารถรื้อได้ ขอให้ศาลยกฟ้อง ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าโจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทตามข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ได้หรือไม่ซึ่งต่างกับคดีก่อนที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับโจทก์แบ่งแยกที่พิพาทเพราะเป็นเจ้าของร่วมกันหรือไม่ซึ่งศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีส่วนในที่พิพาทเท่ากันและพิพากษาให้แบ่งคนละกึ่งหนึ่ง ฉะนั้นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงแบ่งแยกที่ดินหลังมีคำพิพากษา ศาลฎีกาวินิจฉัยให้บังคับตามข้อตกลงได้
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลังแห่งข้อหาว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวร่วมกัน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีก่อนแล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ขอให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยให้การว่า หลังจากศาลพิพากษาในคดีก่อนแล้วในวันนั้นโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันโดยโจทก์ครอบครองที่ดินซีกทางด้านทิศใต้เพราะปลูกบ้านอยู่ก่อนแล้ว ส่วนจำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทซีกด้านทิศเหนือ แต่บ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์อ้างว่า ตามข้อตกลงให้จำเลยรื้อถอนออกไปเพราะขวางทางเข้าออกของโจทก์นั้น จำเลยไม่สามารถรื้อได้ขอให้ศาลยกฟ้อง ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าโจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทตามข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ได้หรือไม่ ซึ่งต่างกับคดีก่อนที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับโจทก์แบ่งแยกที่พิพาทเพราะเป็นเจ้าของร่วมกันหรือไม่ซึ่งศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีส่วนในที่พิพาทเท่ากันและพิพากษาให้แบ่งคนละกึ่งหนึ่ง ฉะนั้นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงแบ่งแยกที่ดินหลังมีคำพิพากษาเดิม ศาลฎีกาวินิจฉัยให้บังคับตามข้อตกลงได้ แม้คดีก่อนฟ้องแบ่งแยกที่ดิน
ในคดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลังแห่งข้อหาว่าโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวร่วมกันส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีก่อนแล้วโจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข3ขอให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงดังกล่าวจำเลยให้การว่าหลังจากศาลพิพากษาในคดีก่อนแล้วในวันนั้นโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันโดยโจทก์ครอบครองที่ดินซีกทางด้านทิศใต้เพราะปลูกบ้านอยู่ก่อนแล้วส่วนจำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทซีกด้านทิศเหนือแต่บ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์อ้างว่าตามข้อตกลงให้จำเลยรื้อถอนออกไปเพราะขวางทางเข้าออกของโจทก์นั้นจำเลยไม่สามารถรื้อได้ขอให้ศาลยกฟ้องประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าโจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทตามข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข3ได้หรือไม่ซึ่งต่างกับคดีก่อนที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับโจทก์แบ่งแยกที่พิพาทเพราะเป็นเจ้าของร่วมกันหรือไม่ซึ่งศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีส่วนในที่พิพาทเท่ากันและพิพากษาให้แบ่งคนละกึ่งหนึ่งฉะนั้นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148
of 189