พบผลลัพธ์ทั้งหมด 938 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3688/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเงินเพื่อหลอกลวงซื้อขาย ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการฉ้อโกง หากการฉ้อโกงเกิดขึ้นได้โดยไม่แสดงเงิน
การที่จำเลยหลอกลวงขอซื้อสร้อยคอทองคำจากผู้เสียหายโดยนำเงินของกลางออกมาแสดงให้ผู้เสียหายดูแล้วนำไปซุกซ่อนไว้ที่อื่นและบอกผู้เสียหายว่าได้ชำระค่าสร้อยคอทองคำให้แล้วนั้นการแสดงเงินของกลางให้ผู้เสียหายดู ไม่เกี่ยวกับการกล่าวเท็จว่าได้ชำระเงินให้แล้ว ฉะนั้นเงินของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3303/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าแรงไม่ใช่ทรัพย์สินที่เสียหายจากการฉ้อโกง ผู้เสียหายต้องฟ้องทางแพ่ง
ในคดีฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจที่จะขอให้จำเลยใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างที่จำเลยยังไม่จ่ายแก่ผู้เสียหายตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 เพราะค่าแรงงานหรือค่าจ้างไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไป เนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย แต่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายชอบที่จะไปฟ้องบังคับให้จำเลยชดใช้ในทางแพ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3303/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าแรง/ค่าจ้างที่ค้างจ่าย ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เสียหายจากการฉ้อโกง พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเรียกร้องแทนผู้เสียหาย
ในคดีฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจที่จะขอให้จำเลยใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างที่จำเลยยังไม่จ่ายแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 เพราะค่าแรงงานหรือค่าจ้างไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย แต่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายชอบที่จะไปฟ้องบังคับให้จำเลยชดใช้ในทางแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3303/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าแรงมิใช่ทรัพย์สินเสียหายในคดีฉ้อโกง พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเรียกร้องแทนผู้เสียหาย
ในคดีฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจที่จะขอให้จำเลยใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างที่จำเลยยังไม่จ่ายแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 เพราะค่าแรงงานหรือค่าจ้างไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไป เนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย แต่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายชอบที่จะไปฟ้องบังคับให้จำเลยชดใช้ในทางแพ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อระหว่างคดี และการปรับบทลงโทษที่ไม่ถูกต้องในคดีฉ้อโกงและการจัดหางาน
ข้อหาความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 1 เดือน กับให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกคำขอที่ให้นับโทษต่อเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ส่วนข้อหาความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ให้จำคุก 2 ปี กับให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่ และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายบางคน กับให้ยกคำขอที่ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่น ส่วนบทมาตราที่จำเลยกระทำผิดและอัตราโทษจำคุกศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษเท่ากับศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเรื่องฉ้อโกง, ข้อเท็จจริงยุติ, ไม่มีประโยชน์ต่อคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ในความผิดฐานฉ้อโกงเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คงรับเฉพาะฎีกาโจทก์เกี่ยวกับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ชอบ โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับฎีกาในความผิดฐานฉ้อโกง ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงตามที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่มีประโยชน์แก่คดีที่จะวินิจฉัยฎีกาโจทก์ต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2684/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท ปลอมเอกสารเพื่อฉ้อโกง โทษหนักสุดใช้กฎหมายมาตรา 90
จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ โดยการเติมแก้ไขจำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ 74 ตารางวา เป็น 50 ไร่ 74 ตารางวาแล้วร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าจำเลยทั้งสองมีที่ดิน 50 ไร่74 ตารางวา จะนำมาเป็นหลักประกันขอกู้เงินจากโจทก์ร่วม แล้วนำเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่จำเลยทั้งสองทำปลอมขึ้นมาแสดงต่อโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงให้จำเลยทั้งสองกู้เงินจำนวน 40,000 บาท และจำเลยทั้งสองได้รับเงินไปในวันเวลาดังกล่าวนั่นเอง เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองทำการปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกงในวันเดียวกัน จำเลยทั้งสองทำการปลอมเอกสารก็ด้วยเจตนาที่จะนำเอกสารไปหลอกลวงเพื่อกู้เงินจากโจทก์ร่วมนั่นเองการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยหลอกลวงเรื่องไสยศาสตร์: การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงจากความเชื่อส่วนบุคคล
จำเลยไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แต่ได้ขายน้ำมันพรายให้กับผู้เสียหายในราคา 300 บาท อ้างว่าจะช่วยให้ค้าขายดี นอกจากนี้จำเลยยังคอยบอกผู้เสียหายว่าทำผิดผี ต้องทำพิธีไหว้อาจารย์ จนผู้เสียหายยอมมอบเงินและทรัพย์สินอื่นรวมหลายหมื่นบาทให้จำเลยไปเพื่อทำพิธีดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียว แม้รับเงินต่างวาระ: ฉ้อโกงประชาชน
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย 7 คนในคราวเดียวกัน แม้ผู้เสียหายแต่ละคนจะมอบเงินให้แก่จำเลยคนละคราวกันก็เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียว ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อโกงให้เข้าหุ้นเล่นการพนัน: ผู้เสียหายร่วมกระทำผิด ไม่มีสิทธิฟ้อง
จำเลยฉ้อโกงให้โจทก์ร่วมเข้าหุ้นเล่นการพนันต้มบุคคลที่สามโจทก์ร่วมเข้าหุ้นและเข้าเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยดังนี้ เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ได้พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)