พบผลลัพธ์ทั้งหมด 491 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจและตัวแทนในการซื้อขายที่ดิน: การกระทำของทนายความในฐานะตัวแทนจำเลย
การประพฤติปฏิบัติของ อ. ซึ่งได้รับมอบจากจำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ไปมอบให้บริษัทโจทก์ที่ 2 ขายทอดตลาดเมื่อโจทก์ที่ 2 รับโฉนดแล้วได้ติดต่อให้ อ. พาไปดูที่ดิน ต่อมา อ. ได้รับประกาศขายทอดตลาดแล้ว อ. และเจ้าหน้าที่ธนาคารจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บริษัทโจทก์ที่ 2 ในวันขายทอดตลาดและร่วมปรึกษาหารือถึงการขายที่ดินและตกลงราคาขั้นต่ำให้ขาย ทั้งอยู่ด้วยในเวลาดำเนินการขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้น ต้องถือว่าจำเลยที่1 มอบให้ อ. เป็นตัวแทนในเรื่องการขายทอดตลาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินมือเปล่า สละเจตนาครอบครอง และการบังคับให้ทำนิติกรรมสัญญาซื้อขาย
จำเลยขายที่ดินมือเปล่า ไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ให้ภริยาโจทก์ได้รับชำระราคาแล้วและได้อพยพไปอยู่ที่อื่นให้โจทก์เข้าครอบครองเป็นเจ้าของ แสดงว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินนั้นต่อไป
แม้เป็นการซื้อขายที่ดินมือเปล่า และจำเลยสละเจตนาครอบครองแล้ว แต่เมื่อมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายโอนที่ดินให้ภริยาโจทก์ที่อำเภอ และจำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายเพื่อจะโอนให้ภริยาโจทก์แล้ว แต่จำเลยไม่ไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยได้
แม้เป็นการซื้อขายที่ดินมือเปล่า และจำเลยสละเจตนาครอบครองแล้ว แต่เมื่อมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายโอนที่ดินให้ภริยาโจทก์ที่อำเภอ และจำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายเพื่อจะโอนให้ภริยาโจทก์แล้ว แต่จำเลยไม่ไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินมือเปล่า สละเจตนาครอบครอง และการบังคับให้ทำนิติกรรมสัญญา
จำเลยขายที่ดินมือเปล่า ไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ให้ภริยาโจทก์ได้รับชำระราคาแล้วและได้อพยพไปอยู่ที่อื่นให้โจทก์เข้าครอบครองเป็นเจ้าของ แสดงว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินนั้นต่อไป
แม้เป็นการซื้อขายที่ดินมือเปล่า และจำเลยสละเจตนาครอบครองแล้ว แต่เมื่อมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขาย โอนที่ดินให้ภริยาโจทก์ที่อำเภอ และจำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายเพื่อจะโอนให้ภริยาโจทก์แล้ว แต่จำเลยไม่ไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยได้
แม้เป็นการซื้อขายที่ดินมือเปล่า และจำเลยสละเจตนาครอบครองแล้ว แต่เมื่อมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขาย โอนที่ดินให้ภริยาโจทก์ที่อำเภอ และจำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายเพื่อจะโอนให้ภริยาโจทก์แล้ว แต่จำเลยไม่ไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยสุจริตและจดทะเบียน การคุ้มครองสิทธิผู้รับโอนจากการครอบครองก่อนหน้า
ซื้อที่ดินมีโฉนด ทำนิติกรรมซื้อขายต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เมื่อชำระเงินค่าซื้อเรียบร้อยแล้วก็ได้จดทะเบียนโอนโฉนดกันตามระเบียบโดยถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นการกระทำโดยเปิดเผยและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตทั้งได้จดทะเบียนโดยสุจริต แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่ดินในโฉนดบางส่วนจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382แต่กรรมสิทธิ์ดังกล่าวนี้กฎหมายยังไม่รับรองเด็ดขาดจนกว่าจะได้จดทะเบียนสิทธินั้นแล้ว กรรมสิทธิ์อันยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นต่อสู้ผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกซึ่งรับโอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ทั้งได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 ซึ่งเป็นบทยกเว้นหลักกฎหมายทั่วไปว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
การแจ้งการครอบครองที่ดินตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งประการใด การแจ้งการครอบครองที่ดินนั้นเป็นเพียงการแสดงเจตนาอย่างหนึ่งว่า ผู้แจ้งการครอบครองยังไม่สละสิทธิครอบครองที่ดินที่แจ้ง ถ้าผู้ครอบครองไม่แจ้งการครอบครองในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ให้ถือว่าสละสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนั้น
การแจ้งการครอบครองที่ดินตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งประการใด การแจ้งการครอบครองที่ดินนั้นเป็นเพียงการแสดงเจตนาอย่างหนึ่งว่า ผู้แจ้งการครอบครองยังไม่สละสิทธิครอบครองที่ดินที่แจ้ง ถ้าผู้ครอบครองไม่แจ้งการครอบครองในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ให้ถือว่าสละสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะจดทะเบียน การยึดที่ดินของผู้ขายย่อมชอบด้วยกฎหมาย
การซื้อขายที่ดินมีโฉนด แม้ผู้ซื้อจะชำระราคาเรียบร้อยและเข้าครอบครองที่ดินแล้วก็ตาม ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ การซื้อขายย่อมยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฉะนั้น ผู้ซื้อที่ดินโฉนดพิพาทส่วนหนึ่งตามกรณีข้างต้นนี้ย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินส่วนของผู้ซื้อซึ่งถูกโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดบังคับชำระหนี้ เพราะแม้แต่การยึดที่ดินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษากับผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์รวมโดยยังไม่ได้แบ่งกันเป็นส่วนสัดนั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาถึงยังมีสิทธิยึดได้ทั้งแปลง แต่คดีนี้ผู้ร้องยังไม่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่โจทก์นำยึด จึงไม่มีสิทธิ์ร้องขัดทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินยังไม่สมบูรณ์หากยังมิได้จดทะเบียน แม้ชำระราคาและครอบครองแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิยึดได้
การซื้อขายที่ดินมีโฉนด แม้ผู้ซื้อจะชำระราคาเรียบร้อยและเข้าครอบครองที่ดินแล้วก็ตาม ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ การซื้อขายย่อมยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฉะนั้น ผู้ซื้อที่ดินโฉนดพิพาทส่วนหนึ่งตามกรณีข้างต้นนี้ย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินส่วนของผู้ซื้อซึ่งถูกโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดบังคับชำระหนี้ เพราะแม้แต่การยึดที่ดินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษากับผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์รวมโดยยังมิได้แบ่งกันเป็นส่วนสัดนั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังมีสิทธิยึดได้ทั้งแปลงแต่คดีนี้ผู้ร้องยังไม่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่โจทก์นำยึด จึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินยังไม่สมบูรณ์หากยังมิได้จดทะเบียน การยึดที่ดินทำได้แม้มีเจ้าของร่วม
การซื้อขายที่ดินมีโฉนด แม้ผู้ซื้อจะชำระราคาเรียบร้อยและเข้าครอบครองที่ดินแล้วก็ตาม. ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์. การซื้อขายย่อมยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย. ฉะนั้น ผู้ซื้อที่ดินโฉนดพิพาทส่วนหนึ่งตามกรณีข้างต้นนี้ย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินส่วนของผู้ซื้อซึ่งถูกโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดบังคับชำระหนี้. เพราะแม้แต่การยึดที่ดินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษากับผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์รวมโดยยังมิได้แบ่งกันเป็นส่วนสัดนั้น. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังมีสิทธิยึดได้ทั้งแปลง.แต่คดีนี้ผู้ร้องยังไม่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่โจทก์นำยึด จึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินเพื่อหากำไรเข้าข่ายการค้า ต้องเสียภาษีการค้าตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าก่อนวันที่ 5 พฤศจิกายน2502 ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 มาตรา 40. ซึ่งต้องคำนึงถึงค่ารายปีของสถานที่ประกอบการค้าและเสียภาษีตามยอดเงินรายรับส่วนการค้าตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2502 ตลอดมา ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่16) พ.ศ.2502 มาตรา 38 จึงไม่ต้องคำนึงถึงค่ารายปีหรือจำนวนเงินซึ่งสถานการค้าสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆนั้นอีก
โจทก์ซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2485 จำนวน6 โฉนด เนื้อที่ 39 ไร่ ราคา 113,996 บาท. ต่อมาปีเศษ โจทก์ยื่นคำร้องขอรวมที่ดินทั้งหมดนี้เข้าเป็นแปลงเดียวกัน เมื่อเจ้าพนักงานจัดทำให้เสร็จแล้ว ได้ขอแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยๆ รวม 24 แปลง โจทก์ตัดถนนผ่านที่ดินกว้าง 10 เมตร เป็นถนนคอนกรีตทำเสร็จเมื่อ พ.ศ.2496 และได้ขอต่อไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าที่ดินทั้งหมดและในปี พ.ศ.2496 นี้ ได้เริ่มขายที่ดินแปลงย่อย ๆ จนถึง พ.ศ.2504 จำนวน 20 แปลงเป็นเงิน 7,831,803 บาท ตามพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหากำไรจึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล
โจทก์ซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2485 จำนวน6 โฉนด เนื้อที่ 39 ไร่ ราคา 113,996 บาท. ต่อมาปีเศษ โจทก์ยื่นคำร้องขอรวมที่ดินทั้งหมดนี้เข้าเป็นแปลงเดียวกัน เมื่อเจ้าพนักงานจัดทำให้เสร็จแล้ว ได้ขอแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยๆ รวม 24 แปลง โจทก์ตัดถนนผ่านที่ดินกว้าง 10 เมตร เป็นถนนคอนกรีตทำเสร็จเมื่อ พ.ศ.2496 และได้ขอต่อไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าที่ดินทั้งหมดและในปี พ.ศ.2496 นี้ ได้เริ่มขายที่ดินแปลงย่อย ๆ จนถึง พ.ศ.2504 จำนวน 20 แปลงเป็นเงิน 7,831,803 บาท ตามพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหากำไรจึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินเพื่อหากำไร มีหน้าที่เสียภาษีการค้า แม้จะอ้างเป็นการขายของเดิม
การขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าก่อนวันที่ 5 พฤศจิกายน2502 ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 มาตรา 40 ซึ่งต้องคำนึงถึงค่ารายปีของสถานที่ประกอบการค้าและเสียภาษีตามยอดเงินรายรับส่วนการค้าตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2502 ตลอดมา ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่16) พ.ศ.2502 มาตรา 38 จึงไม่ต้องคำนึงถึงค่ารายปีหรือจำนวนเงินซึ่งสถานการค้าสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆนั้นอีก
โจทก์ซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2485 จำนวน 6 โฉนด เนื้อที่ 39 ไร่ ราคา 113,996 บาท ต่อมาปีเศษ โจทก์ยื่นคำร้องขอรวมที่ดินทั้งหมดนี้เข้าเป็นแปลงเดียวกัน เมื่อเจ้าพนักงานจัดทำให้เสร็จแล้ว ได้ขอแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยๆ รวม 24 แปลงโจทก์ตัดถนนผ่านที่ดินกว้าง 10 เมตร เป็นถนนคอนกรีตทำเสร็จเมื่อ พ.ศ.2496 และได้ขอต่อไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าที่ดินทั้งหมดและในปี พ.ศ.2496 นี้ ได้เริ่มขายที่ดินแปลงย่อยๆจนถึงพ.ศ.2504 จำนวน 20 แปลงเป็นเงิน 7,831,803 บาทตามพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหากำไรจึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล
โจทก์ซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2485 จำนวน 6 โฉนด เนื้อที่ 39 ไร่ ราคา 113,996 บาท ต่อมาปีเศษ โจทก์ยื่นคำร้องขอรวมที่ดินทั้งหมดนี้เข้าเป็นแปลงเดียวกัน เมื่อเจ้าพนักงานจัดทำให้เสร็จแล้ว ได้ขอแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยๆ รวม 24 แปลงโจทก์ตัดถนนผ่านที่ดินกว้าง 10 เมตร เป็นถนนคอนกรีตทำเสร็จเมื่อ พ.ศ.2496 และได้ขอต่อไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าที่ดินทั้งหมดและในปี พ.ศ.2496 นี้ ได้เริ่มขายที่ดินแปลงย่อยๆจนถึงพ.ศ.2504 จำนวน 20 แปลงเป็นเงิน 7,831,803 บาทตามพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหากำไรจึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และข้อพิพาทซื้อขายที่ดิน การยกเหตุไม่ครบถ้วนชำระหนี้ในชั้นอุทธรณ์ และอายุความฟ้องขับไล่
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์ชำระค่าที่ดินยังไม่ครบ แต่ไม่ได้ยกเหตุที่จำเลยชำระค่าที่ดินไม่ตรงตามกำหนดทุกเดือน โจทก์จะยกปัญหาข้อนี้ในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ เพราะมิได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์แล้วผิดสัญญา จึงฟ้องเรียกที่ดินคืนจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการซื้อขาย ดังนี้ ฟ้องแย้งเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับฟ้องเดิม
ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจำเลยแย่งการครอบครองมาจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปีโจทก์หมดสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 (อ้างฎีกาที่ 1694-1695/2500)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์แล้วผิดสัญญา จึงฟ้องเรียกที่ดินคืนจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการซื้อขาย ดังนี้ ฟ้องแย้งเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับฟ้องเดิม
ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจำเลยแย่งการครอบครองมาจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปีโจทก์หมดสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 (อ้างฎีกาที่ 1694-1695/2500)