พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,243 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1038/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา ไม่เป็นความผิดพรากผู้เยาว์
จำเลยและผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว ผู้เสียหายเต็มใจให้จำเลยร่วมประเวณีโดยสมัครใจ หลังจากนั้นประมาณ 20 วันจำเลยสึกจากพระภิกษุ โดยจำเลยและผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภรรยาตลอดมาจนมีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง โดยจำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยมีเจตนาพาผู้เสียหายไปและร่วมประเวณีกับผู้เสียหายด้วยประสงค์จะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในสมณเพศ แต่ต่อมาภายหลังจำเลยก็สึกจากสมณเพศโดยสมัครใจ และอยู่กินเลี้ยงดูผู้เสียหายตลอดมาจนเกิดบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อความเสียหายจากยานพาหนะ และการประเมินความประมาทของผู้ขับและผู้เสียหาย
ขณะเกิดเหตุ ป. ลูกจ้างของจำเลยทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยชนผู้ตายซึ่งกำลังเดินข้ามถนน อันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลย และได้ครอบครอง ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกล จึงเป็นกรณีอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ดังนั้น จึงต้องฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้นร่วมกับ ป. เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง
แม้การที่ผู้ตายไม่ข้ามถนนในทางข้ามซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุอันถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม แต่ ป.มีส่วนประมาทมากกว่าเพราะเหตุที่ชนผู้ตายเนื่องจาก ป. ขับรถไม่ชะลอความเร็วในขณะใกล้ถึงทางแยกเป็นสำคัญ การที่ผู้ตายมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหาย ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์มากน้อยเพียงใดก็ได้ โดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ
แม้การที่ผู้ตายไม่ข้ามถนนในทางข้ามซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุอันถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม แต่ ป.มีส่วนประมาทมากกว่าเพราะเหตุที่ชนผู้ตายเนื่องจาก ป. ขับรถไม่ชะลอความเร็วในขณะใกล้ถึงทางแยกเป็นสำคัญ การที่ผู้ตายมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหาย ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์มากน้อยเพียงใดก็ได้ โดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5934-5935/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องคดีอาญาของผู้เสียหายแต่ละคน แม้มีการถอนฟ้องคดีไปแล้วโดยผู้เสียหายอื่น
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 36 หมายความว่า ในคดีอาญาที่ผู้เสียหายคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องไว้แล้วถอนฟ้องคดีนั้นไปจากศาล ย่อมตัดสิทธิผู้เสียหายคนนั้นที่จะฟ้องคดีอาญาในข้อหาเดียวกันนั้นอีกเท่านั้นหาได้ตัดสิทธิผู้เสียหายคนอื่นที่จะฟ้องคดีอาญาในข้อหาเดียวกันนั้นอีกไม่ เพราะสิทธิในการดำเนินคดีอาญาที่ตนเป็นผู้เสียหายย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายแต่ละคน ทั้งมาตรานี้มิได้บัญญัติตัดสิทธิผู้เสียหายแต่ละคนในกรณีที่มีผู้เสียหายหลายคนไว้โดยชัดแจ้ง ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่มิได้ถอนฟ้องจึงมีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5660/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเลือกตั้ง: ผู้สมัครส.ส.ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงในความผิดตามพ.ร.บ.การเลือกตั้ง
บทบัญญัติมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 เป็นบทบัญญัติที่บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนที่อาจได้รับความเสียหาจากการถูกจูงใจให้ลง คะแนนเลือกตั้งแก่ผู้ที่จูงใจหรือผู้อื่นโดยไม่สมัครใจ เป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมไม่ได้คุ้มครองบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ ดังนั้น ถึงแม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดต่อบทกฎหมายดังกล่าวก็ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด ต่อรัฐ ไม่ใช่กระทำความผิดต่อโจทก์แม้โจทก์จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยผู้หนึ่ง โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาฐานนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5660/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาจากการเลือกตั้ง: การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ vs. ผู้เสียหายเฉพาะ
บทบัญญัติมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 เป็นบทบัญญัติที่บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนที่อาจได้รับความเสียหาจากการถูกจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งแก่ผู้ที่จูงใจหรือผู้อื่นโดยไม่สมัครใจ เป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมไม่ได้คุ้มครองบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ ดังนั้น ถึงแม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดต่อบทกฎหมายดังกล่าวก็ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อรัฐ ไม่ใช่กระทำความผิดต่อโจทก์แม้โจทก์จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยผู้หนึ่ง โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5660/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเลือกตั้ง: การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ vs. ผู้เสียหายเฉพาะ
พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 35 บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนที่อาจจะได้รับความเสียหายจากการถูกจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งแก่ผู้ที่จูงใจหรือผู้อื่นโดยไม่สมัครใจอันเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม ไม่ได้คุ้มครองโจทก์โดยตรงเป็นพิเศษ หากการกระทำของจำเลยเป็นความผิดก็ต้องถือว่าเป็นความผิดต่อรัฐไม่ใช่กระทำความผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 2(4).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5592/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากพฤติการณ์ยิงปืนเข้าบ้านผู้เสียหาย แม้ไม่ถูกตัว
การที่จำเลยใช้ปืนอันเป็นอาวุธที่ร้ายแรงยิงเข้าไปในบ้านผู้เสียหายในยามวิกาล ซึ่งวิญญูชนทั่วไปย่อมรู้ดีว่าต้องมีบุคคลหลับนอนหรือพักอาศัยอยู่ในบ้าน แม้กระสุนปืนที่จำเลยยิงเข้าไปในบ้านจะไม่ถูกผู้เสียหายหรือผู้ใดที่อยู่ในบ้าน แต่เมื่อตำแหน่งที่ถูกกระสุนปืนนัดหนึ่งห่างจากผู้เสียหายเพียง 1 เมตร อีกนัดหนึ่งถูกใต้ขอบหน้าต่างบ้าน ดังนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ตัวการตัวแทน, ความรับผิดทางละเมิด: โจทก์ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงจึงมีอำนาจฟ้องได้
จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 2 โดยมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเมาสุรานั่งไปด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถอันเป็นกิจการของจำเลยที่ 2แทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น ตัวการ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถในขณะเกิดเหตุ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ให้ จำเลย ที่ 2 รับผิดในฐานะตัวการด้วย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถจักรยานยนต์ที่เสียหาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดข้อนี้แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มิใช่เจ้าของรถคันเกิดเหตุ แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถจักรยานยนต์ที่เสียหาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดข้อนี้แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มิใช่เจ้าของรถคันเกิดเหตุ แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4802/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทลงโทษอาญาที่ศาลอุทธรณ์ผิดพลาด และคำสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้อง กับไม่ได้สั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้องขอมาด้วยศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากโจทก์ไม่ใช่คู่ความ/ผู้เสียหายในคดีอาญา
การที่จะถือ เอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามาพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้ นั้น จะต้อง เป็นคดีที่มีมูลกรณีเดียว กันและเป็นคู่ความเดียว กัน ซึ่ง ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์คู่ความในคดีส่วนแพ่งก็จะต้อง เป็นผู้เสียหายในคดีนั้นด้วย จำเลยที่ 1 เคยถูก พนักงานอัยการฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดขับรถยนต์ โดย ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้ รับอันตรายสาหัสทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และไม่หยุดรถขณะมีสัญญาณไฟแดง ตาม ป.อ. มาตรา 300390 พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา 2243152157ศาลแขวงธนบุรี พิพากษา ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดคดีสำหรับความผิดต่อ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตาม กฎหมาย ส่วนข้อหาขับรถโดย ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้ รับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 300390 โจทก์ไม่ใช่ผู้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ใช่ผู้เสียหายเมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญา ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ในคดีแพ่ง ดังนี้ ในการพิพากษา คดีส่วนแพ่งศาลไม่จำต้องถือ ข้อเท็จจริงตาม ที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.