พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขัดทรัพย์ซ้ำ: ศาลยกคำร้องเนื่องจากประเด็นเคยถูกวินิจฉัยชี้ขาดถึงที่สุดแล้ว และไม่มีพยานหลักฐานใหม่
ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องในคราวก่อนเพราะผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบ เท่ากับว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้ออ้างในประเด็นแห่งคดีที่ผู้ร้องนำมาฟ้อง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีของผู้ร้องนั้นแล้ว ผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 148 (1) เพราะมาตรา 288 ให้ศาลพิจารณาชี้ขาดคดีคำร้องขัดทรัพย์นั้นเหมือนคดีธรรมดา คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำร้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกฟ้องคดีลักทรัพย์เนื่องจากพยานหลักฐานไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ฟ้อง และคำรับสารภาพขัดแย้งกับพยาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักไก่ชน 1 ตัว ของผู้เสียหายแต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกเข้าไปลักไก่ชนในเล้าไก่ของผู้เสียหายและฟังไม่ได้ว่าไก่ชน 1 ตัว ที่พบในรถยนต์บรรทุกหกล้อเป็นของผู้เสียหายดังที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงตามที่ ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าว ในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลจึงต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินเพื่อขอคืนของกลาง ศาลต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ชัดเจน
ผู้ร้องมี ณ. ผู้รับมอบอำนาจและผู้เช่าโต๊ะบิลเลียดทรัพย์ของกลางเบิกความแต่เพียงว่า ได้เช่าทรัพย์ของกลางจากผู้ร้อง แต่ ณ. ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องมิได้ยืนยันว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของกลางแต่ประการใด ทั้งตัวผู้ร้องเองก็มิได้มาเบิกความยืนยันแสดงหลักฐานว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของกลางดังนั้นการเบิกความแต่เพียงว่าผู้ร้องเป็นผู้ให้เช่าทรัพย์ของกลาง จึงไม่อาจรับฟังว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่แท้จริงในทรัพย์ของกลาง ที่ขอคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ผู้ร้อง จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์ของกลางแก่ผู้ร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานแน่นหนา ไม่เข้าเหตุบรรเทาโทษ ฎีกาไม่รับ
โจทก์มีพยานแวดล้อมกรณีมาสืบอย่างมั่นคงปราศจากสงสัยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบเสื้อผ้าของจำเลยที่จำเลยสวมใส่ ขณะเกิดเหตุมีคราบโลหิตมนุษย์ติดอยู่ และผลการตรวจพิสูจน์ พบรอยนิ้วมือของจำเลยที่ขาเก้าอี้ที่ใช้เป็นอาวุธตีทำร้ายผู้ตาย กับพบเส้นผมของจำเลยติดอยู่ที่คราบโลหิตตรงขาของ ผู้ตายทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังตรวจพบรอยขีดข่วนและ รอยถลอกใหม่ที่บริเวณแขนและนิ้วมือทั้งสองข้างของจำเลย จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิด ความผิดอื่นของตน ซึ่งลำพังแต่พยานโจทก์ที่นำสืบมาก็เพียงพอ ที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยรับสารภาพก็เพราะ เกิดจากจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่เป็นประโยชน์แก่ การพิจารณาแต่อย่างใด ไม่มีเหตุบรรเทาโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบกับพฤติการณ์ แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงไม่สมควรลดโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่า: เหตุประพฤติชั่วและละทิ้งร้างต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน ศาลไม่รับฟังเพียงคำเบิกความลอยๆ
การที่จำเลยไปเที่ยวกับผู้ชายในเวลากลางคืนโดยไม่ได้ความชัดว่าจำเลยประพฤติตนเช่นนั้นเป็นปกติวิสัยหรือไม่ ชายที่จำเลยไปด้วยมีความสัมพันธ์กับจำเลยเกินกว่าปกติธรรมดาหรือไม่ และจำเลยไปกับชายดังกล่าวเพียงลำพังสองต่อสองหรือไม่ จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยประพฤติชั่ว อันจะเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(2) โจทก์เป็นฝ่ายขอย้ายไปรับราชการที่ต่างจังหวัดตามความประสงค์ของโจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยยังคงอยู่ที่บ้านที่เป็นของโจทก์และจำเลยปลูกสร้างตามเดิมจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป เกินกว่าหนึ่งปี อันจะเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาหลักฐานพยานและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแสงสว่างในที่เกิดเหตุเพื่อพิสูจน์ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
ตามปกติบุคคลธรรมดาทั่ว ๆ ไปในเวลากลางคืนเมื่อเดินไป ตามถนนย่อมจะไม่มองดูว่าที่ถนนมีไฟฟ้าติดตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง จำนวนกี่ดวง เป็นหลอดไฟฟ้าลักษณะใดบ้าง เมื่อบันทึกการตรวจ สถานที่เกิดเหตุซึ่งร้อยตำรวจตรี ส. จดบันทึกไว้ทันทีในคืนเกิดเหตุระบุถึงลักษณะและสภาพของไฟฟ้าส่องสว่างว่ามีไฟฟ้าส่องสว่างบริเวณที่เกิดเหตุและมาเบิกความประกอบบันทึกดังกล่าวยืนยันว่ามีแสงสว่างสามารถมองเห็นกันได้ในบริเวณดังกล่าวในระยะห่าง 10 เมตร ย่อมฟังได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงส่องสว่างสามารถมองเห็นกันได้ในระยะ 10 เมตร และเมื่อพยานโจทก์เบิกความตรงกันว่าจำเลยเป็น คนยิงผู้เสียหายโดยมีสิ่งช่วยจำเป็นพิเศษคือจำเลยสวมหมวกแก๊ปผ้าสีพรางทั้งในขณะนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์และขณะใช้อาวุธปืน ยิงผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิง ผู้เสียหาย แม้บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุจะลงวันที่ซึ่งเป็นวันที่ ก่อนเกิดเหตุ 7 วันก็ตาม แต่ข้อความในบันทึกดังกล่าวระบุวันเวลา ที่เกิดเหตุและร่องรอยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุได้ถูกต้องตรงตามประเด็นแห่งคดี เหตุที่บันทึกดังกล่าวลงวันที่ก่อนเกิดเหตุ นั้นอาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่พิมพ์วันที่ผิดพลาด ไม่เป็นเหตุ ให้ข้อความในเอกสารเป็นพิรุธหรือไม่น่าเชื่อถือ บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานโจทก์อ่อนแอ ศาลฎีกายกฟ้องคดีอาญา ฐานฆ่าและกักขัง เนื่องจากพยานหลักฐานขัดแย้งและไม่น่าเชื่อถือ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ฐานฆ่าผู้อื่น ให้ประหารชีวิตและฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำคุกคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ความผิดฐาน ทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายจึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะความผิด ฐานฆ่าผู้อื่น ซึ่งเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ดังกล่าวยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้พาผู้ตายขึ้นรถยนต์กระบะสีขาวไป และการที่ผู้ตายถูกฆ่าเกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องในความผิดฐานทำให้ผู้อื่น ปราศจากเสรีภาพในร่างกายของจำเลยทั้งสองได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 เพราะเป็น ข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์ของกลาง: การรับสารภาพ, พยานหลักฐาน, และการมอบอำนาจที่ไม่สมเหตุสมผล
จำเลยรับว่าได้ถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางจริง โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก อ. เจ้าของรถให้ยืมชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวซึ่งขัดต่อเหตุผล เนื่องจากการถอดชิ้นส่วนจาก รถจักรยานยนต์ของกลางจะทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางใช้การไม่ได้ ทั้งยังขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน ซึ่งมิได้นำสืบปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของบันทึกคำให้การดังกล่าว ทั้งตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายปรากฏว่าจำเลยได้นำชี้เส้นทางที่ใช้เป็นทางเข้าออกโดยเข้ามาข้างศาลาพักผู้โดยสารด้านหลังสถานีตำรวจ แล้วเข้ามาลักชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางและหลบหนีไปทางเส้นทางเดิมซึ่งจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าบันทึกและภาพถ่ายดังกล่าวไม่ถูกต้องเช่นกัน จึงรับฟังได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยสมัครใจ เมื่อคำรับสารภาพดังกล่าวเจือสมกับคำเบิกความของสิบตำรวจโท จ. ที่ว่าพบรอยเท้าคนเดินที่พงหญ้าด้านหลังสถานีตำรวจ นอกจากนี้จำเลยก็มิได้นำสืบใบมอบอำนาจที่จำเลยอ้างว่า อ. เจ้าของรถมอบอำนาจให้มาถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์หรือนำเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยแสดงใบมอบอำนาจ ดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุน ทั้งรถจักรยานยนต์ของกลาง ก็ยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่ง อ. จะอนุญาตให้ถอดชิ้นส่วนรถไปโดยพลการไม่ได้ ข้ออ้างของ จำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พฤติการณ์ของจำเลยจึงมีเจตนาทุจริต แม้ว่า อ. จะทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางแต่ก็เป็นเวลา ภายหลังเกิดเหตุแล้ว ไม่ทำให้จำเลยพ้นความผิดไปได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) และ (8) วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีแรงงาน: การโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้นและการรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์เดินทางมาถึงประเทศไทย และวันที่ 28 สิงหาคม 2538 โจทก์จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานขึ้นอีกฉบับหนึ่งและโจทก์เริ่มต้นทำงานกับจำเลยในวันนั้น โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าว และเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2539ด.ผู้จัดการทั่วไปของจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยต้องการจะเลิกจ้างโจทก์จึงให้โจทก์เลือกว่าจะลาออกหรือให้จำเลยเลิกจ้าง หลังจากเจรจากันแล้วโจทก์ได้ยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2539 จึงเป็น การที่โจทก์ลาออกโดยสมัครใจที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คำเสนอ สนองระหว่างโจทก์จำเลยเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เวลาที่โจทก์ เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้ารับการสัมภาษณ์จาก ด. สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จำเลยจึงเกิดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่ วันดังกล่าวและเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2539 ก่อนที่จำเลยจะเรียกโจทก์ไปพบ จำเลยมีเจตนาจะเลิกจ้างโจทก์และ จัดทำหนังสือเลิกจ้างไว้แล้ว เมื่อโจทก์จำเลยเจรจากันแล้ว จำเลยจึงยื่นหนังสือดังกล่าวให้โจทก์ แสดงให้เห็นเจตนาอัน แท้จริงของจำเลยว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์นั้นอุทธรณ์ ของโจทก์ทั้งสองข้อล้วนเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและรับสารภาพของผู้ต้องหาคดียาเสพติด: พยานหลักฐานมั่นคงรับฟังได้
เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยได้แอบซุ่มดูจำเลยในระยะใกล้ ในเวลากลางวันทั้งเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธอย่างไร เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมก็บันทึกไปตามความประสงค์ของจำเลย กรณีจึงไม่มีเหตุที่ระแวงว่าพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลย จะเบิกความปรักปรำจำเลย เมื่อเจ้าพนักงานสอบสวนพาจำเลย ไปชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ จำเลยก็คง นำชี้ตามคำรับสารภาพ ซึ่งหากจำเลยไม่ได้กระทำผิด แล้วจำเลยย่อมจะปฏิเสธได้เพราะเป็นเจ้าพนักงานต่างคนกัน และจดบันทึกในเวลาต่างกัน ฟังได้ว่าอีเฟดรีนของกลางจำนวน 587 เม็ดเป็นของจำเลย สำหรับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ จำนวน 3,100 บาท แม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้ว่าหายไปได้อย่างไร ก่อนที่จำเลยจะถูกจับกุมก็หาเป็นสาระสำคัญแก่คดีอย่างไรไม่ เพราะพยานหลักฐานโจทก์ดังที่กล่าวมานับว่ามั่นคงรับฟังได้ อยู่แล้วว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง