คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิสูจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,273 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: โจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำผิดของจำเลย แม้จำเลยรับว่ามีการลงข้อความ
จำเลยที่ 1 แถลงรับแต่เพียงว่าได้มีการลงข้อความประกาศโฆษณาตามที่โจทก์อ้างในฟ้องในหนังสือพิมพ์จริงเท่านั้น มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้ให้ข่าวนั้นแก่หนังสือพิมพ์ หรือได้ร่วมกับจำเลยที่ 2และที่ 3 ลงข่าวดังกล่าวเพื่อใส่ความโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ใส่ความโจทก์และจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่จะต้องนำสืบพิสูจน์และนำข้อเท็จจริงมาสู่ศาลเพื่อให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5010/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองลิขสิทธิ์ต่างประเทศ: จำเป็นต้องพิสูจน์การคุ้มครองในประเทศต้นทางตามอนุสัญญาลิขสิทธิ์
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานละเมิดงานสร้างสรรค์ ของ โจทก์ร่วมซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ต่างประเทศ จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงต้องนำสืบว่ากฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดาและเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานวีดีโอเทปภาพยนตร์อันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แต่ที่โจทก์นำสืบกฎหมายของต่างประเทศซึ่งมีคำแปลเพียงบางส่วนนั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่แน่นอนว่ากฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดาและเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานวีดีโอเทปภาพยนตร์อันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ดัง ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521โจทก์ร่วมจึงไม่ได้รับความคุ้มครองดังกล่าวในประเทศไทยและลงโทษจำเลยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอเชื่อว่าจำเลยกระทำผิด ลักทรัพย์ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์มีพยานเพียงปากเดียวแต่มิได้รู้เห็นขณะจำเลยลักเอาเงินของผู้เสียหายไป โดยพยานออกไปจากกระท่อมนานานประมาณ 30นาทีก็กลับมาพบเห็นจำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนา และพบว่าเงินของผู้เสียหายที่อยู่บนกระท่อมนาได้หายไป ดังนี้ หากจำเลยเป็นคนร้ายเมื่อได้เงินแล้วก็น่าจะรีบหนีออกไปจากกระท่อมนา ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะมายืนอยู่ใต้กระท่อมนา ทั้งกระท่อมนาที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในที่เปิดเผยใกล้ทางที่ชาวบ้านผ่านไปมา ฉะนั้นระยะเวลาที่พยานไปและกลับมาที่กระท่อมนา คนที่เดินผ่านจึงมีโอกาสที่จะขึ้นไปลักเอาเงินบนกระท่อมนาได้โดยง่าย ส่วนการที่พยานถามจำเลยว่ามาทำอะไร จำเลยไม่ตอบกลับเดินออกไปและเมื่อจำเลยเห็นเจ้าพนักงานตำรวจก็วิ่งหนีนั้น แม้เป็นการกระทำอันเป็นพิรุธก็ตาม แต่การกระทำอันเป็นพิรุธของจำเลยดังกล่าวและการที่จำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนาภายหลังจากที่เงินของผู้เสียหายได้หายไปนั้นเป็นเพียงพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่าจำเลยน่าจะเป็นคนร้ายเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบเพื่อยืนยันให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริง พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดทางอาญาต้องอาศัยพยานหลักฐานที่ชัดเจน การรับคำสารภาพต้องปราศจากความขัดแย้ง
พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้เพียงว่าไร่ที่ปลูกกัญชาและพืชอื่น ๆ เป็นของนายจ้าง จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างที่ช่วย ทำไร่โดย โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับไร่กัญชาของนายจ้างอย่างไร ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างตั้งแต่ เมื่อใดและจำเลยได้ ช่วย ปลูกหรือช่วย ทนุ บำรุงกัญชาของกลางหรือไม่จึงไม่มีพฤติการณ์ส่อแสดงการร่วมกระทำผิดของจำเลย ประกอบกับในชั้นสอบสวน จำเลยให้การว่าเมื่อเริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างก็เห็นมีต้นกัญชาอยู่แล้ว แต่ จำเลยไม่ได้สนใจอย่างไร แสดงว่าจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับไร่กัญชาของนายจ้างคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นคำให้การรับสารภาพไม่อาจรับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ ร่วมกับนายจ้างปลูกกัญชาของกลางและร่วมกันมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางที่ยึดได้ จากชื่อและครัวในขนำโดย นายจ้างเป็นเจ้าของขนำและได้ อยู่ อาศัยในขนำขณะที่เจ้าพนักงานเข้าตรวจ ค้นตาม ปกติทรัพย์สินในขนำควรจะเป็นของผู้เป็นนายจ้าง เว้นแต่โจทก์นำสืบได้ ว่าจำเลยซึ่ง เป็นลูกจ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น ทางพิจารณาโจทก์คงมีแต่ บันทึกการจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ยืนยันว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลย จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าจำเลยให้การรับสารภาพเพราะถูก ชกต่อยทำร้าย แม้จำเลยนำสืบลอย ๆ แต่ เมื่อถ้อยคำ ของ จำเลยตาม บันทึกการจับกุมไม่ตรง กับถ้อยคำ ของ จำเลยตาม คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยจึงเป็น เหตุน่าสงสัยว่าบันทึกการจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนได้ มีการบันทึกถูกต้อง ตรง กับความเป็นจริงหรือไม่เพราะทำขึ้นในคราวเดียว กัน คำให้การดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักที่จะนำมารับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยในความผิดฐาน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4822/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขึ้นอยู่กับการพิสูจน์สถานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในขณะฟ้องคดี
จำเลยทั้งสองได้ปฏิเสธไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การแล้วว่า ว.ไม่ใช่อธิบดีโจทก์ในขณะฟ้องคดี และมิใช่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ซึ่งศาลได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4822/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง: โจทก์ต้องพิสูจน์สถานะและอำนาจของผู้ลงชื่อฟ้อง หากจำเลยปฏิเสธ
จำเลยทั้งสองได้ปฏิเสธไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การแล้วว่า ว.ไม่ใช่อธิบดีโจทก์ในขณะฟ้องคดี และมิใช่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ซึ่งศาลได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4540/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: ผู้จดทะเบียน vs. ผู้ใช้ก่อน ต้องพิสูจน์สิทธิการใช้ในไทย
บทบัญญัติมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯบัญญัติไว้ตอนต้นว่า "ภายในบังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้"ซึ่งรับกับมาตรา 41 ที่บัญญัติว่า "ทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนได้เมื่อผู้มีส่วนได้เสียได้ยื่นคำร้องและแสดงว่า (1) ผู้ร้องมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของหรือ (2) ฯลฯ" ดังนั้น เมื่อจำเลยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทไว้แล้ว โจทก์ซึ่งอ้างว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย และขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นตามข้ออ้างของตน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษปรับรายวันในความผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร: การพิสูจน์วันเริ่มใช้และข้อจำกัดการอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใช้อาคารประเภทควบคุมก่อนได้รับใบรับรองการก่อสร้าง ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯมาตรา 32,65 แต่ฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองใช้อาคารที่ก่อสร้างวันใดระยะเวลาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด คือระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2531ถึงวันที่ 8 กันยายน 2531 นั้น ไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยทั้งสองก่อสร้างอาคารเสร็จเมื่อใด เปิดใช้อาคารเมื่อใด แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพ เมื่อไม่มีวันที่จำเลยทั้งสองใช้อาคารที่สร้างเสร็จแล้วเมื่อใด จึงไม่อาจคำนวณโทษปรับนับแต่วันที่จำเลยทั้งสองใช้อาคารที่สร้างเสร็จโดยไม่ได้รับใบรับรองจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) ศาลไม่อาจลงโทษปรับเป็นรายวันตามพ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯ มาตรา 65 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3175/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักภาษี ณ ที่จ่าย: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าลูกจ้างไม่อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี หากพิสูจน์ไม่ได้ ต้องรับผิดชำระภาษี
โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดได้จ่ายค่าจ้างแรงงานให้แก่ลูกจ้างโดยมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย เมื่อเอกสารที่เป็นหลักฐานการจ่ายค่าแรงงาน ไม่ปรากฏสถานภาพของลูกจ้างโจทก์ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้หรือไม่ โจทก์จะถือว่าลูกจ้างที่มีรายได้จากโจทก์มีรายได้ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ จึงไม่จำต้องหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายไว้ ย่อมไม่ถูกต้องเพราะการที่จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ต้องดู จากรายได้ทั้งหมดของลูกจ้างแต่ละคนเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำมาพิสูจน์ให้เห็นว่าลูกจ้างโจทก์มีเงินได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์จึงต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ การพิสูจน์ความเสียหาย และการกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสม
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อ เสียงของโจทก์ทั้งด้านการเมืองและด้านการประกอบอาชีพ โดยบรรยายถึงตำแหน่งทางการเมืองของโจทก์และอาชีพคือแพทย์ด้วยเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อ เสียงทั้งสองด้าน แม้โจทก์จะไม่ได้แยกค่าเสียหายที่ขอว่าจำนวนใดเป็นของด้านใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งไม่เป็นความจริงที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงคมนาคมกลั่นแกล้งบริษัท บ. มิใช่การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต หรือติ ชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของบุคคลในฐานะเยี่ยงจำเลยพึงกระทำ แต่เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม ป.พ.พ.มาตรา 423.
of 128