คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 823 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีแพ่งไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย หากเนื้อหาแจ้งชัดถึงข้อหาและคำขอ
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้นไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเสมอไป
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย แต่ต้องแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้นไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเสมอไป
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมา โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่ โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความแตกต่างของข้อเท็จจริงในฟ้องกับทางพิจารณา ไม่ถึงขั้นต้องยกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกมีปืนพก 1 กระบอก ติดตัวไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้ปืนดังกล่าวยิง 3 นัด เพื่อสะดวกแก่การปล้น แต่นำสืบว่าจำเลยกับพวกมีปืนติดตัวไป 3 - 4 กระบอก แล้วใช้ปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายทั้งสอง ดังนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับที่กล่าวในฟ้องเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่แตกต่างในข้อสารสำคัญอันจะต้องยกฟ้อง
แม้จะปรากฏว่าคนร้ายใช้ปืนตีศีรษะพวกของผู้เสียหายและใช้ปืนยิงผู้เสียหาย แต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297 และ 288 หรือ 289ประกอบด้วย 80 ด้วยนั้น ก็ไม่ทำให้ศาลต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเล็กน้อยในฟ้อง ไม่ถึงขั้นยกฟ้อง และศาลมีอำนาจแก้ไขบทลงโทษที่เป็นคุณแก่จำเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกมีปืนพก 1 กระบอกติดตัวไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้ปืนดังกล่าวยิง 3 นัด เพื่อสะดวกแก่การปล้น แต่นำสืบว่าจำเลยกับพวกมีปืนติดตัวไป 3-4 กระบอก แล้วใช้ปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายทั้งสอง ดังนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับที่กล่าวในฟ้องเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่แตกต่างในข้อสารสำคัญอันจะต้องยกฟ้อง
แม้จะปรากฏว่าคนร้ายใช้ปืนตีศีรษะพวกของผู้เสียหาย และใช้ปืนยิงผู้เสียหาย แต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297 และ 288 หรือ 289ประกอบด้วย 80 ด้วยนั้น ก็ไม่ทำให้ศาลต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องร่วมทำร้ายร่างกาย: การระบุตัวผู้กระทำความผิดไม่จำเป็นหากฟ้องว่าทั้งสองฝ่ายทำร้ายกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 2ที่ 3 ใช้มือผลักและชกจำเลยที่ 1 ที่ใบหน้า ส่วนพวกที่หลบหนีคนหนึ่งใช้จอบตีจำเลยที่ 1 ย่อมมีความหมายว่า ฝ่ายของจำเลยที่2ที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 นั่นเองซึ่งโจทก์ก็ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาด้วยแล้วแม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนใดผลักคนใดชกเป็นการกระทำร่วมกันหรือสมคบกันอย่างไร ก็ไม่ถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บุตรฟ้องผู้จัดการมรดก: ไม่ขัดมาตรา 1534 หากฟ้องในฐานะจัดการมรดก ไม่ใช่ฐานะมารดา
บุตรเป็นโจทก์ ฟ้องมารดาในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นจำเลยได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางต้องมีคำขอในฟ้อง หากไม่มีศาลสั่งริบไม่ได้ แม้จำเลยรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายเจ้าพนักงานจับจำเลยได้ และได้ปืนลูกกระสุนปืน และปลอกกระสุนปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษ โดยมิได้ขอให้ริบของกลางด้วยเมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลย แม้จำเลยจะได้เบิกความรับว่าปืนของกลางเป็นปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและจำเลยมีไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตศาลก็สั่งริบของกลางไม่ได้ เพราะตามคำฟ้องไม่มีคำขอให้ริบของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามทางพิจารณา ทำให้ลงโทษจำเลยไม่ได้ แม้เป็นการชุลมุนต่อสู้
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83. ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและผู้ตายตายด้วยมีดของฝ่ายจำเลยในที่ชุลมุนต่อสู้นั้น โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนแทง ดังนี้ เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องในข้อสารสำคัญ ต้องยกฟ้องโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานชิงทรัพย์โดยอ้อม ศาลสามารถลงโทษฐานชิงทรัพย์ได้ แม้ไม่ได้อ้างมาตราโดยตรง
ฟ้องกล่าวหาจำเลยกระทำผิดพยายามฆ่าผู้อื่น อ้างบทมาตราที่ขอให้ลงโทษจำเลยมาแต่เพียงมาตรา 288,289,80 เมื่อ ในคำฟ้องโจทก์บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยมาแล้วว่า จำเลยยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ และยังมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายด้วย ดังนี้ ย่อมแปลคำฟ้องของโจทก์ได้ว่ามุ่งประสงค์ที่จะให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์อยู่ด้วย และเมื่อศาลฟังว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์หรือพาเอาทรัพย์ไป การกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ จึงเป็นเหตุฉกรรจ์ของความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7), 80 อยู่แล้ว ศาลจึงไม่จำต้องปรับบทว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยอีกบทหนึ่งแต่ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่จำเลยชิงไปให้แก่เจ้าทรัพย์ในคดีเช่นนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาต้องยึดตามฟ้อง หากข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาไม่ตรงกับที่โจทก์กล่าวอ้าง ศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า วันเกิดเหตุเวลากลางคืน จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายแล้วร่วมกันชกต่อยเตะผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295,365, 83 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับพวกเกิดชกต่อยกับผู้เสียหายและพวกที่หน้ากองดุริยางค์กรมตำรวจ เมื่อมีคนมาห้ามก็เลิกชกต่อยกัน และเหตุการณ์ก็ยุติลงแค่นั้น ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหะสถานของผู้เสียหายแล้วทำร้ายผู้เสียหาย อันเป็นการกระทำคนละตอน ต่างกรรม ต่างวาระเมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยกับพวกได้บุกรุกเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายอีกดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็ต้องยกฟ้องโจทก์ จะถือเอาการที่จำเลยต่อยกับผู้เสียหายที่หน้ากองดุริยางค์มาลงโทษจำเลยหาได้ไม่เพราะต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษ
of 83