พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7380/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดวันสืบพยานก่อนครบกำหนดเวลายื่นคำให้การ ถือเป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะเข้าใจผิดเรื่องวันนัด
++ เรื่อง ประกันภัย ละเมิด รับช่วงสิทธิ (ชั้นขอให้พิจารณาใหม่) ++
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (10) "วันสืบพยาน" หมายความว่าวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยาน
โจทก์ยื่นคำฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 21 กรกฎาคม 2541 เวลา 9 นาฬิกา เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน2541 จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การได้ภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 ฉะนั้นวันที่ 21 กรกฎาคม 2541 ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นวันสืบพยานโจทก์นัดแรกนั้นแม้โจทก์และพยานโจทก์จะมาศาลก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ได้เพราะยังไม่พ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้เลื่อนคดีเพื่อรอดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดเวลายื่นคำให้การหากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ วันที่ 21 กรกฎาคม2541 จึงมิใช่ "วันสืบพยาน" ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ไปศาลในวันดังกล่าวโดยเข้าใจว่าวันนัดคลาดเคลื่อนไปเพราะความผิดพลาดของโจทก์ แต่ก็เป็นคนละเหตุที่จะให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยเห็นว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 จึงถูกต้องแล้ว
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (10) "วันสืบพยาน" หมายความว่าวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยาน
โจทก์ยื่นคำฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 21 กรกฎาคม 2541 เวลา 9 นาฬิกา เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน2541 จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การได้ภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 ฉะนั้นวันที่ 21 กรกฎาคม 2541 ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นวันสืบพยานโจทก์นัดแรกนั้นแม้โจทก์และพยานโจทก์จะมาศาลก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ได้เพราะยังไม่พ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้เลื่อนคดีเพื่อรอดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดเวลายื่นคำให้การหากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ วันที่ 21 กรกฎาคม2541 จึงมิใช่ "วันสืบพยาน" ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ไปศาลในวันดังกล่าวโดยเข้าใจว่าวันนัดคลาดเคลื่อนไปเพราะความผิดพลาดของโจทก์ แต่ก็เป็นคนละเหตุที่จะให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยเห็นว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 จึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7198/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ต้องยื่นภายในกำหนดตามกฎหมาย มิฉะนั้นศาลมีอำนาจไม่รับคำคู่ความ
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ ต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และมาตรา 23 จึงต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เสียภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.เกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246 ประกอบมาตรา 142 (5)
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.เกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246 ประกอบมาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7198/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ต้องยื่นภายในกำหนด หากพ้นกำหนดคำสั่งศาลที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายอาจถูกเพิกถอนได้
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ ต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และมาตรา 23จึงต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เสียภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246ประกอบมาตรา 142(5)
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246ประกอบมาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7041/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการพิจารณาคดีไม่ชอบ ศาลไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วม และพิพากษาโดยไม่แก้ไขกระบวนพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกัน ร่วมกันชำระค่าเสียหายเนื่องจากรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อจากโจทก์สูญหายไป จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้และอ้างเหตุว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อได้ประกันภัยไว้กับบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ขอให้เรียกบริษัทสินมั่นคงประกันภัยจำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นจำเลยร่วม อันเป็นการร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยร่วมให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน คำให้การของจำเลยร่วมจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลยทั้งสาม เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ และยกฟ้องสำหรับจำเลยร่วม โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายเพิ่มขึ้น ส่วนจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอชำระค่าเสียหายน้อยลง และขอให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยด้วย เช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยร่วมยังเป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามและจัดส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามให้เฉพาะโจทก์โดยไม่ได้ มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามให้แก่จำเลยร่วมเพื่อแก้อุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 235 และการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสามพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณา และที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไปโดยมิได้มีคำสั่งให้แก้ไขเกี่ยวกับกระบวนพิจารณา ดังกล่าวเสียก่อน กับที่ศาลชั้นต้นไม่นัดให้จำเลยร่วมมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยมิชอบ เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา จึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2) ประกอบด้วยมาตรา 247 และต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสามฎีกาต่อมายังมิได้ผ่านการพิจารณาและพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงยังไม่มีสิทธิที่จะฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการจัดส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามให้แก่จำเลยร่วม แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ ตามรูปคดีและยกฎีกาของจำเลยทั้งสาม คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7040/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและการประวิงคดี ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การและเลื่อนคดี
ตามคำร้องของจำเลยอ้างว่า ทนายจำเลยได้รับการแต่งตั้งเป็นทนายความเรื่องนี้ก่อนวันครบกำหนดยื่นคำให้การเพียงหนึ่งวันจึงไม่สามารถยื่นคำให้การภายในกำหนด ถือได้ว่าจำเลยได้แสดงเหตุให้ปรากฏแล้วว่าจำเลยมิได้ยื่นคำให้การเพราะเหตุใด แต่ตัวจำเลยกลับเพิ่งแต่งตั้งทนายความเมื่อพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคหนึ่ง แล้ว มิใช่แต่งตั้งทนายก่อนวันครบกำหนดยื่นคำให้การเพียงหนึ่งวัน ดังจำเลยอ้าง พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่าตัวจำเลยไม่สนใจ ต่อการดำเนินคดี จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยทราบนัดสืบพยานครั้งแรกโดยชอบแล้วไม่มาศาลและมิได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี แต่ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีออกไปตามคำร้องของโจทก์และปิดหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยมิได้ดำเนินการใด ๆ การที่ทนายความของจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่นในวันดังกล่าว ทนายจำเลยย่อมทราบดีอยู่แล้ว กลับให้ ตัวจำเลยนำคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การมายื่น และยื่นคำร้องขอ เลื่อนคดีเข้ามาด้วยในวันเดียวกันนี้ ซึ่งคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ มิได้แสดงเหตุให้ปรากฏและก่อนหน้านี้จำเลยเคยยื่นคำร้องขออนุญาต ขยายระยะเวลายื่นคำให้การมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นการยื่น เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่อนุญาต พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดี ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีจึงชอบแล้ว
จำเลยทราบนัดสืบพยานครั้งแรกโดยชอบแล้วไม่มาศาลและมิได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี แต่ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีออกไปตามคำร้องของโจทก์และปิดหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยมิได้ดำเนินการใด ๆ การที่ทนายความของจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่นในวันดังกล่าว ทนายจำเลยย่อมทราบดีอยู่แล้ว กลับให้ ตัวจำเลยนำคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การมายื่น และยื่นคำร้องขอ เลื่อนคดีเข้ามาด้วยในวันเดียวกันนี้ ซึ่งคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ มิได้แสดงเหตุให้ปรากฏและก่อนหน้านี้จำเลยเคยยื่นคำร้องขออนุญาต ขยายระยะเวลายื่นคำให้การมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นการยื่น เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่อนุญาต พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดี ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7-8/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยมิชอบ ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ละเมิดอำนาจศาล แม้ผู้กระทำไม่ใช่คู่ความ
แม้การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาจะกระทำตั้งแต่ในชั้นสอบสวนก่อนดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล แต่ในที่สุดก็จะต้องมีการดำเนินคดีในศาลเป็นการต่อเนื่องกันไป การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยมิชอบดังกล่าวย่อมเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษ ทำให้กระบวนพิจารณาในศาลไม่อาจดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมได้ ต้องถือว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การกระทำที่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ ได้แก่การขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตรา 30 อันว่าด้วยการรักษาความสงบเรียบร้อยประการหนึ่งกับการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอีกประการหนึ่ง เฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้นที่จะต้องเป็นคู่ความหรือบุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ส่วนการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลนั้นหาได้มีข้อจำกัดดังกล่าวไม่ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 ได้ แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะมิใช่คู่ความและมิได้อยู่ต่อหน้าศาลก็ตาม
การกระทำที่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ ได้แก่การขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตรา 30 อันว่าด้วยการรักษาความสงบเรียบร้อยประการหนึ่งกับการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอีกประการหนึ่ง เฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้นที่จะต้องเป็นคู่ความหรือบุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ส่วนการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลนั้นหาได้มีข้อจำกัดดังกล่าวไม่ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 ได้ แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะมิใช่คู่ความและมิได้อยู่ต่อหน้าศาลก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7-8/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสับเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ละเมิดอำนาจศาล แม้กระทำก่อนฟ้อง
แม้การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาจะกระทำตั้งแต่ในชั้นสอบสวน ก่อนดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เข้าใจดีอยู่แล้วว่า ในที่สุดก็จะต้องมีการดำเนินคดีในศาลเป็นการต่อเนื่องกันไป การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยมิชอบย่อมเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษ ทำให้กระบวนพิจารณาในศาลไม่อาจดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมได้ ต้องถือว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ซึ่งแม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1จะมิใช่คู่ความ แต่การกระทำที่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการได้แก่การขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตรา 30 อันว่าด้วยการรักษาความสงบเรียบร้อยประการหนึ่ง กับการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอีกประการหนึ่ง เฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้นที่จะต้องเป็นคู่ความหรือบุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ส่วนการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลนั้นหาได้มีข้อจำกัดดังที่ถูกกล่าวหาที่ 1 กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 ได้
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษและศาลไม่อาจพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม ทั้งเป็นการชักจูงให้เยาวชนกระทำผิดเพื่อผลประโยชน์ของผู้กล่าวหาที่ 1 เอง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดแก่อนาคตของเยาวชน มิใช่เป็นการกระทำเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาและถูกผู้อื่นชักจูงให้หลงเชื่อ จึงไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษและศาลไม่อาจพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม ทั้งเป็นการชักจูงให้เยาวชนกระทำผิดเพื่อผลประโยชน์ของผู้กล่าวหาที่ 1 เอง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดแก่อนาคตของเยาวชน มิใช่เป็นการกระทำเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาและถูกผู้อื่นชักจูงให้หลงเชื่อ จึงไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6991/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุเลิกจ้างต้องระบุในหนังสือเลิกจ้าง ศาลยึดตามเหตุที่แจ้งเท่านั้น
แม้จำเลยจะให้การต่อสู้คดีอ้างเหตุเลิกจ้างโจทก์ไว้หลายประการก็ตามหากเหตุเลิกจ้างประการใดไม่ปรากฏในหนังสือเลิกจ้าง ย่อมแสดงว่าในขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้นจำเลยคงติดใจเลิกจ้างโจทก์เฉพาะสาเหตุที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างเท่านั้น ไม่ได้ติดใจที่จะนำสาเหตุอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้มาเป็นเหตุที่จะเลิกจ้างโจทก์อีก ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยเหตุเลิกจ้างอื่นตามที่จำเลยให้การไว้ จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6921/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์: การขยายเวลาวางค่าธรรมเนียม และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
คำร้องของจำเลยขอให้กำหนดเวลาให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ เป็นเรื่องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ย่อมเป็นผลสืบเนื่องมาจากการยกคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินของจำเลย หากศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินก็จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไม่ได้ การอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน จำเลยชอบที่จะยื่นอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่จำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6512-6513/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์พิพาทจำกัดสิทธิอุทธรณ์ฎีกา แม้มีเหตุผลด้านการดำเนินการของศาล
สำนวนแรกโจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 173,143 บาท และโจทก์ที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 148,132 บาทส่วนสำนวนหลังจำเลยที่ 3 ฟ้องขอให้บังคับโจทก์กับจำเลยที่ 4ร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องแก่จำเลยที่ 3เป็นเงิน 37,006 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีแรก และคดีหลังพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน37,006 บาท แก่จำเลยที่ 3 สำนวนแรกทุนทรัพย์ตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 2 แต่ละคนไม่เกิน 200,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกิน 200,000 บาท คู่ความจึงถูกห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนสำนวนหลังทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท คู่ความจึงถูกห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
โจทก์อุทธรณ์และฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ปล่อยปละละเลยหรือไม่สนใจในการดำเนินคดีตามที่ศาลได้วินิจฉัย แต่ติดขัดเพราะการดำเนินการขอคัดถ่ายเอกสารอันเป็นการจัดระเบียบบริหารงานธุรการของศาล เป็นการนอกเหนืออำนาจโจทก์ที่จะดำเนินการก้าวล่วงได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตามลำดับกำหนดเป็นอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริง
แม้อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามาพิจารณาว่าจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาหรือไม่
โจทก์อุทธรณ์และฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ปล่อยปละละเลยหรือไม่สนใจในการดำเนินคดีตามที่ศาลได้วินิจฉัย แต่ติดขัดเพราะการดำเนินการขอคัดถ่ายเอกสารอันเป็นการจัดระเบียบบริหารงานธุรการของศาล เป็นการนอกเหนืออำนาจโจทก์ที่จะดำเนินการก้าวล่วงได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตามลำดับกำหนดเป็นอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริง
แม้อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามาพิจารณาว่าจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาหรือไม่