คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคำร้องขอพิจารณาใหม่หลังศาลชั้นต้นยกคำร้องเนื่องจากพ้นกำหนด และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่พ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่บังคับมีผลโดยไม่แสดงเหตุอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรกให้ยกคำร้องแสดงอยู่ในตัวว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่ามีการส่งคำบังคับให้จำเลยถูกต้องตามกฎหมายซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏจากรายงานการเดินหมายว่าพนักงานเดินหมายได้ส่งคำบังคับ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตรงกับที่ระบุไว้ในแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร์ที่ โจทก์ ส่งอ้างเป็นหลักฐานต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ ภูมิลำเนาของจำเลยแทนการส่งด้วยวิธีธรรมดา ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังกล่าวจึงไม่ผิดกฎหมาย คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทคู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรกคู่ความคงอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในข้อที่ว่าจำเลยได้แสดง เหตุอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังที่ศาลชั้นต้น วินิจฉัยหรือไม่ จึงมีเหตุสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5863/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีเช็คพิพาทระงับหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลฎีกาไม่รับฎีกาเนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาทได้มี การทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่ง และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว มูลหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นอันสิ้นผลผูกพันคดีจึงเลิกกัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป ให้จำหน่ายคดีออก จากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ร่วมไว้จึงเป็นการ ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยริบของกลาง เหตุโจทก์ฎีกาเกินกรอบประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวัสดุโทรทัศน์ได้ร่วมกันมีวิดีโอเทปภาพยนตร์เรื่องมังกรหยกจำนวน 12 ม้วนซึ่งจำเลยกับพวกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมกับวิดีโอเทปเรื่องอื่น ๆ อีกจำนวน 472 ม้วน ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจเทปและวัสดุโทรทัศน์ไว้ในสถานที่ประกอบกิจการของตนขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 35 และขอให้ริบเฉพาะวิดีโอเทปเรื่องอื่น ๆ ดังกล่าวจำนวนเพียง 472 ม้วนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบวิดีโอเทปของกลางทั้งหมดจำนวน 484 ม้วน จำเลยอุทธรณ์ว่า ของกลางที่โจทก์อ้างว่ามิได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากเจ้าพนักงานนั้น เป็นเพียงมิได้เสนอให้เจ้าพนักงานตรวจเสียก่อนตามขั้นตอนเท่านั้นหากวิดีโอเทปดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของเจ้าพนักงานก็อาจได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานก็ได้ เมื่อโจทก์ มิได้นำสืบให้ศาลเห็น ไม่สมควรริบ และต้องคืนของกลางแก่จำเลยการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าวิดีโอเทปของกลางทั้งหมดจำนวน 484 ม้วน ที่อยู่ในครอบครองของจำเลยไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงาน และจำเลยเป็นเพียงผู้ดูแลหรือลูกจ้างของผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิดีโอเทปจำนวน 484 ม้วนไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ศาลจึงไม่ริบ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกหรือเกินไปกว่าที่กล่าวไว้ในอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 215 นอกจากนี้เมื่อปรากฏว่าในชั้นพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ จำเลยให้การปฏิเสธและจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความต่อสู้ว่า ด.เป็นเจ้าของวิดีโอเทปของกลางทั้งหมด จำเลยไม่ใช่เจ้าของวิดีโอเทปดังกล่าวและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิดีโอเทปของกลางเช่นนี้จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้คืนของกลางดังกล่าวแก่จำเลย และกรณีเช่นว่านี้ศาลอุทธรณ์ต้องพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ดังนี้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และข้ออุทธรณ์ของจำเลยย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อให้ริบของกลางตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมโดยนำเอาวิดีโอเทปละเมิดลิขสิทธิ์ของกลางจำนวน 12 ม้วน ออกโฆษณา ขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่าเพื่อการค้า และขอให้พิพากษาให้วิดีโอเทปของกลางดังกล่าวตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยโจทก์ไม่ได้ขอริบนั้นเมื่อไม่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าวิดีโอเทปของกลางดังกล่าวเป็นวิดีโอเทปได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม และศาลชั้นต้นไม่พิพากษาให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นกลับไปพิพากษาให้ริบวิดีโอเทปของกลาง เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งแม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ และเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นปัญหา เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเป็นไม่ริบ วิดีโอเทปของกลางนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานยืนยันตัวผู้กระทำผิดในคดีทำร้ายร่างกาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
สถานที่เกิดเหตุเป็นบริเวณที่มีการจัดงานรื่นเริงเชื่อว่าจะต้องมีแสงสว่างมากกว่าปกติหลังเกิดเหตุ พ.ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีพร้อมทั้งระบุตัวจำเลยว่า เป็นคนร้ายที่ใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหายแม้ผู้เสียหายกับ พ. ประจักษ์พยานจะเป็นพี่น้องกันแต่ก็ไม่ปรากฏว่าบุคคลทั้งสองเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนอันจะทำให้มีความระแวงว่าจะเกิดมีการกลั่นแกล้งกันได้ เชื่อว่า พยานเบิกความตามที่ได้รู้เห็นมา ส่วนจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าคนร้ายที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมีรูปร่างคล้ายจำเลยชื่อ ผ. นั้น จำเลยก็หาได้นำสืบให้เห็นว่าในคืนเกิดเหตุมีพฤติการณ์ใดที่ชวนให้มีการเข้าใจผิดว่าจำเลยคือ ผ.จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งหลังเกิดเหตุใหม่ ๆจำเลยก็หาได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนถึงเรื่องที่บุคคลอื่นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายจำเลยไว้ไม่ ส่วนการที่จำเลยยืนถือมีดปลายแหลมแล้วตรงเข้าเอาด้ามมีดเคาะที่ศีรษะผู้เสียหายแล้วพูดว่า "เก่งที่อื่นได้ แต่อย่ามาเก่งที่นี่"หาใช่เป็นการที่ผู้กระทำผิดรอให้ผู้อื่นเห็นหน้าอันเป็นการผิดปกติวิสัยดังที่จำเลยฎีกาไม่หากแต่เป็นเพราะความชะล่าใจของคนร้ายบางคนที่คิดว่าไม่มีผู้ใดจะกลัวว่ากล่าวเอาโทษแก่ตนได้และแม้ อ. พยานโจทก์จะเบิกความว่าพยานไม่ได้ออกบัตรเชิญจำเลยและไม่เห็นจำเลยในวันงานนั้นก็มิใช่เป็นข้อที่จะรับฟังได้เด็ดขาดว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในวันงานนั้นเพราะ อ. ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านต้องดูแลต้อนรับผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก ในงานมีทั้งภาพยนต์และดนตรีย่อมจะมีคนเข้ามาร่วมชมซึ่งอาจเป็นคนแถวบริเวณนั้นรวมอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่ได้รับเชิญ พยานจำเลยนอกจากนี้ล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันและเป็นพี่จำเลยย่อมเบิกความเป็นประโยชน์แก่จำเลยเป็นธรรมดา พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5126/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นอำนาจฟ้อง & ความรับผิดของหุ้นส่วนจำกัด: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ & ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงในคำให้การ
เมื่อข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างในฎีกาเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องไม่ตรงกับที่จำเลยได้ให้การไว้ จึงมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ.มาตรา249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
แม้โจทก์จะมิได้ระบุในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และอ้างว่ากระทำแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด และคดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เพียงใดเช่นนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยก ป.พ.พ.มาตรา 1087 มาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จึงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ซึ่งต้องร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1077 จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำให้การของจำเลยมาวินิจฉัยตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นบทบังคับเด็ดขาดว่าหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด เพื่อวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 2 ตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ ย่อมไม่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5046/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และไม่ได้อ้างอิงข้อกฎหมายชัดเจน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ต่อจาก โทษในคดีอาญาอื่นอีก 3 คดี รวมแล้วมีโทษจำคุก 70 ปี 22 เดือน จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งแก้ไขหมายจำคุกรวมโทษ ทั้ง 4 คดีแล้วไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกาโดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ทั้งไม่ได้อ้างอิง ข้อกฎหมายไว้โดยชัดแจ้ง ฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฎีกา ที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง, 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4528/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มาศาล: ห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่มาศาลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 166 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4510/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัย แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ และการกำหนดค่าทดแทน
ฎีกาโจทก์มิได้บรรยายถึงคำฟ้องและคำให้การอันมีมาแต่แรก แต่โจทก์ได้บรรยายมาในฎีกาว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอย่างไร คู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอย่างไร นอกจากนี้ฎีกาโจทก์ยังได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้แย้งคำพิพากษา ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบหรือผิดพลาดในข้อใดอย่างไร และเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ส่วนคำขอท้ายฎีกาโจทก์ก็ขอให้ศาลฎีกา แก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้โจทก์ฎีกาจะไม่ได้บรรยายถึงคำฟ้องและคำให้การอันมีมาแต่ศาลชั้นต้นว่าเป็นอย่างไร ฎีกาโจทก์ก็ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แล้ว โจทก์ฟ้องตั้งรูปว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นทางภารจำยอมโดยมิได้วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่า ทางพิพาท ไม่ใช่ทางภารจำยอมและข้อเท็จจริงในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยในเรื่องทางจำเป็น ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าเป็นทางจำเป็นได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและมีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินทางด้านทิศใต้ติดต่อกับที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือที่ดินของโจทก์ถูกล้อมโดยที่ดินแปลงอื่นไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ได้ โดยที่ดินของจำเลยเป็นที่ดินแปลงหนึ่งที่ล้อมที่ดินของโจทก์ และติดทางสาธารณประโยชน์ หากโจทก์ใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ก็จะเป็นทางตรง มีระยะสั้น และสะดวกกว่า ไปใช้ทางอื่น ถือได้ว่าที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 เมื่อโจทก์ผู้มีสิทธิจะผ่านทางพิพาทซึ่งเป็นทางจำเป็นโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงที่ถูกจำกัดโดยมูลค่าคดี และผลกระทบต่อการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท การที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้คัดค้านซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224และศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษากลับให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแม้ผู้ร้องจะฎีกาต่อมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย และศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่วินิจฉัยในข้อเท็จจริงและยกฎีกาผู้ร้องให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นกับคืนค่าขึ้นศาลฎีกาให้ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3848/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นระหว่างพิจารณาคดี และคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฏิเสธ
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเนื่องจากเป็นการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ.มาตรา 236 วรรคหนึ่ง
of 225