พบผลลัพธ์ทั้งหมด 709 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2633/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เทศบาลมีหน้าที่บำรุงรักษาทาง ไม่มีหน้าที่รับถนนยกให้ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้ว่าฯ และไม่ลงชื่อรับรองแนวเขต ไม่เป็นความผิดอาญา
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 53 เทศบาลไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องรับถนนที่มีผู้ยกให้ และผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีอำนาจสั่งให้เทศบาลรับถนนที่มีผู้ยกให้ดังกล่าวนอกจากมีอำนาจควบคุมดูแลเทศบาลให้ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฎหมายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 71 เท่านั้น ฉะนั้น ถึงแม้จำเลยซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดที่สั่งให้จำเลยรับถนนที่โจทก์กับผู้มีชื่อยกให้การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 165
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 50 (2), 53 เทศบาลมีหน้าที่จัดให้มีการบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ หาได้บัญญัติให้เทศบาล หรือจำเลยมีหน้าที่ต้องระวังแนวเขตและลงชื่อรับทราบแนวเขตตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 70 ไม่ ฉะนั้น แม้จำเลยจะไม่ยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางสาธารณะ การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 50 (2), 53 เทศบาลมีหน้าที่จัดให้มีการบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ หาได้บัญญัติให้เทศบาล หรือจำเลยมีหน้าที่ต้องระวังแนวเขตและลงชื่อรับทราบแนวเขตตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 70 ไม่ ฉะนั้น แม้จำเลยจะไม่ยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางสาธารณะ การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2533/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และหน้าที่ในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ใช้ยันโจทก์ซึ่งได้ที่ดินมาโดยเจ้าของเดิมยกให้แต่จำเลยจะฟ้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดการโอนใส่ชื่อจำเลยและจัดการแบ่งแยกให้จำเลยไม่ได้ และศาลจะพิพากษาให้โจทก์จัดการแบ่งแยกให้แก่จำเลยไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่อย่างใดในทางนิติกรรมที่จะต้องโอนให้จำเลย เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ จะต้องดำเนินการให้มีชื่อของตนในโฉนดต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจมิชอบ - ความผิดตามมาตรา 148 และ 157 ต้องเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่โดยตรง
การที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 นั้น จะต้องเป็นเจ้าพนักงานที่ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ส่วนมาตรา 157 นั้น จะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเฉพาะแต่ตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้นๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของข้าราชการ: ต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการละเว้นหน้าที่กับความเสียหาย
การที่ข้าราชการละเว้นไม่ปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติราชการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของทางราชการนั้น อาจทำให้ข้าราชการต้องรับผิดในทางวินัยก็จริงแต่จะถือเป็นหลักแน่นอนตายตัวว่า เมื่อข้าราชการผู้ใดกระทำผิดวินัยแล้วต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 เสมอไปหาได้ไม่ การที่จะให้จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางละเมิดต่อโจทก์นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นว่าการที่จำเลยกระทำผิดวินัยนั้นเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้โจทก์เสียหาย
จำเลยรับราชการเป็นครู อาจารย์ใหญ่ได้ออกคำสั่งแต่ตั้งจำเลยเป็นครูเวรรักษาการณ์ตามมติคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่ควบคุมคนยามมิให้ละทิ้งหน้าที่แต่ต้องมาอยู่เวร ที่โรงเรียน และนอนในห้องที่โรงเรียนจัดไว้ คืนเกิดเหตุจำเลยไม่ได้มาอยู่เวร คงมีแต่ภารโรงทำหน้าที่เป็นคนยาม ระหว่างอยู่ยามรักษาการณ์คนยามได้หลับยาม คนร้ายจึงได้งัดเข้าไปลักทรัพย์ในโรงงานที่ 4 และ ที่ 6 ของโรงเรียนที่อยู่ห่างที่ครูเวรนอนออกไปถึง 50 เมตร และ 250 เมตร ตามลำดับ ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่ผู้อยู่เวรจะล่วงรู้ได้ ถึงหากจำเลยจะมาอยู่เวรก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้เกิดการลักทรัพย์ดังกล่าวขึ้นได้ เพราะไม่มีหน้าที่เป็นคนยามตรวจตราเฝ้าขโมย การที่โรงเรียนถูกลักทรัพย์ จึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยไม่มาอยู่เวร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด
จำเลยรับราชการเป็นครู อาจารย์ใหญ่ได้ออกคำสั่งแต่ตั้งจำเลยเป็นครูเวรรักษาการณ์ตามมติคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่ควบคุมคนยามมิให้ละทิ้งหน้าที่แต่ต้องมาอยู่เวร ที่โรงเรียน และนอนในห้องที่โรงเรียนจัดไว้ คืนเกิดเหตุจำเลยไม่ได้มาอยู่เวร คงมีแต่ภารโรงทำหน้าที่เป็นคนยาม ระหว่างอยู่ยามรักษาการณ์คนยามได้หลับยาม คนร้ายจึงได้งัดเข้าไปลักทรัพย์ในโรงงานที่ 4 และ ที่ 6 ของโรงเรียนที่อยู่ห่างที่ครูเวรนอนออกไปถึง 50 เมตร และ 250 เมตร ตามลำดับ ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่ผู้อยู่เวรจะล่วงรู้ได้ ถึงหากจำเลยจะมาอยู่เวรก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้เกิดการลักทรัพย์ดังกล่าวขึ้นได้ เพราะไม่มีหน้าที่เป็นคนยามตรวจตราเฝ้าขโมย การที่โรงเรียนถูกลักทรัพย์ จึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยไม่มาอยู่เวร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดในความเสียหายจากการยักยอกเงิน และขอบเขตการตีความสัญญาค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานเก็บเงินค่ากระแสไฟฟ้ายักยอกเอาเงินไปโดยไม่นำส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีแล้วจำเลยที่ 3 ไม่ได้ติดตามตรวจสอบเรียกเงินหรือบิลใบเสร็จรับเงินจากจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่เพื่อนำมาลงบัญชีเงินสดรับจ่ายประจำวันเสนอให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 ปลัดสุขาภิบาลในฐานะกรรมการรักษาเงินทำการตรวจสอบจำเลยที่ 4 ที่ 5 ไม่มีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 3 โดยตรงจำเลยที่ 4 ที่ 5 ตรวจสอบหลักฐานบัญชีการรับจ่ายเงินตามปกติไม่มีข้อบกพร่อง การที่จำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไปจึงไม่เป็นผลอันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 4 ที่ 5
ข้อที่ว่าต้องตีความในสัญญาค้ำประกันมิให้เป็นที่เสียหายแก่ผู้ค้ำประกันนั้นเมื่อสัญญาค้ำประกันมีข้อความแจ้งชัดไม่มีข้อจำกัดเฉพาะการขับรถจึงไม่จำเป็นต้องตีความเป็นอย่างอื่นและการที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาไว้ว่าจะรับผิดชดใช้เงินที่ยักยอกให้แก่โจทก์นั้น ก็หาเข้าลักษณะที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 700 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันจะทำให้จำเลยที่ 8 ในฐานะผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดอีกต่อไปไม่
ข้อที่ว่าต้องตีความในสัญญาค้ำประกันมิให้เป็นที่เสียหายแก่ผู้ค้ำประกันนั้นเมื่อสัญญาค้ำประกันมีข้อความแจ้งชัดไม่มีข้อจำกัดเฉพาะการขับรถจึงไม่จำเป็นต้องตีความเป็นอย่างอื่นและการที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาไว้ว่าจะรับผิดชดใช้เงินที่ยักยอกให้แก่โจทก์นั้น ก็หาเข้าลักษณะที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 700 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันจะทำให้จำเลยที่ 8 ในฐานะผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดอีกต่อไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 423/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดต่อเจ้าพนักงาน: ผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีโดยตรง
จำเลยเรียกร้องเงินจาก ต.ซ. และ จ. โดยอ้างว่าบัญชีของบุคคลดังกล่าวผิดและใบเสร็จรับเงินไม่ลงชื่อผู้รับเงิน จำเลยจะเอาเงินไปให้ ป. ซึ่งเป็นผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดไม่ให้ไปตรวจสอบ ต. จึงมอบเงิน2,000 บาทให้จำเลยไปดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าป. ไม่มีหน้าที่ตรวจสอบแต่ทำหน้าที่ธุรการ ดังนั้นหน้าที่ตรวจสอบบัญชีจึงหาใช่หน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากการเป็นผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดของ ป. ซึ่งทำหน้าที่ธุรการไม่ ป. จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานที่จำเลยจะพึงให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ คือตรวจสอบบัญชีอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดอันเป็นองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ตัวแทน การปฏิบัติงานนอกเหนืออำนาจ และความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
จำเลยได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้จัดการธนาคารสาขาวรจักรของโจทก์ ในการจ่ายเงินล่วงหน้าหรือให้ลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชีนั้น จะต้องมีดอกเบี้ยและเรียกหลักประกัน เช่นการรับจำนำหรือรับจำนอง แต่จำเลยให้ ซ.และฬ. เบิกเงินเกินบัญชีไปโดยไม่ได้เรียกหลักประกันไว้ ครั้น ซ. ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ โจทก์จึงหมดสิทธิเรียกร้องเอาจาก ซ. ส่วนฬ. ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง โจทก์ไม่สามารถติดตามให้ชำระหนี้ได้ ถ้าจำเลยเรียกหลักประกันไว้จากบุคคลทั้งสองนี้โจทก์จะไม่เสียหาย การที่โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้จากบุคคลทั้งสองนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่เรียกหลักประกันอันเป็นการกระทำนอกเหนือขอบอำนาจ และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2497/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการปลอมเอกสารราชการ แม้ไม่ได้ลงมือเองก็มีผิดฐานร่วมกันปลอมแปลง
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อและรับเงินจากผู้ต้องการได้ประกาศนียบัตรปลอม กับจดชื่อวันเดือนปีเกิดของผู้นั้นให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ไปติดต่อกับคนที่ปลอมเอกสาร เมื่อได้เงินมาก็แบ่งปันกัน ดังนี้ แม้จำเลยทั้งสองมิได้ลงมือกระทำการปลอมเองก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าได้ร่วมกันกับคนที่ทำปลอมขึ้นโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2319-2320/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์และการตั้งผู้แทนเฉพาะคดี กรณีผู้แทนโดยชอบธรรมยังมีอำนาจหน้าที่
โจทก์เป็นผู้เยาว์เป็นบุตรของนาย ว. นาง ส. ซึ่งอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ว. ไม่ได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ว. จึงมิใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ และไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ผู้เยาว์
การร้องขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 6 จะมีได้เฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม ฯลฯ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุใดเหตุหนึ่งรวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกับผู้เยาว์ เมื่อโจทก์มีมารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมและสามารถจะทำการตามหน้าที่ได้กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 6 ที่จะให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้
การร้องขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 6 จะมีได้เฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม ฯลฯ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุใดเหตุหนึ่งรวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกับผู้เยาว์ เมื่อโจทก์มีมารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมและสามารถจะทำการตามหน้าที่ได้กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 6 ที่จะให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นเจ้าพนักงานระหว่างถูกจับกุม แม้ไม่ได้เกิด ณ ที่เกิดเหตุ ก็ถือว่ากระทำผิดได้
ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยตามหน้าที่ในข้อหาวางคานเหล็กกีดขวางทางเท้า และให้จำเลยไปสถานีตำรวจ โดยผู้เสียหายไปรออยู่ที่นั่น เพื่อนำจำเลยส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พอจำเลยมาถึงสถานีตำรวจก็กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นผู้เสียหายว่า "ลื้อจับแบบนี้แกล้งจับอั๊วนี่หว่า ไม่เป็นไรไว้เจอกันเมื่อไหร่ก็ได้" ดังนี้เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เพราะการที่ผู้เสียหายให้จำเลยไปที่สถานีตำรวจ เพื่อนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีก็อยู่ในระหว่างจำเลยถูกจับกุมนั่นเอง เมื่อจำเลยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นผู้เสียหายในระหว่างนั้น จึงถือว่าจำเลยกล่าวขณะถูกจับกุม