พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7191/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีแพ่ง: ศาลต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยให้การเท่านั้น
ปัญหาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะต้องให้การต่อสู้คดี ทั้งคำให้การในคดีส่วนแพ่งจำเลยทั้งสองต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งสองยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ซึ่งตามคำให้การของจำเลยทั้งสองแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 โดยอ้างเหตุว่าจำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้หลังจากผิดนัดชำระค่าเช่าหลายปีเช่นนี้ เป็นกรณีจำเลยทั้งสองให้การว่ารับสภาพความผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (3) ประกอบมาตรา 193/14 (1) และ 193/15 ศาลจึงไม่อาจหยิบยกอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (3) ขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำให้การของจำเลยทั้งสอง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7173/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความรับผิดทางละเมิดเมื่อคู่กรณีประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ศาลไม่อาจบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหาย
การกำหนดค่าเสียหายของศาลเป็นได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลใช้ดุลพินิจกำหนดให้ขัดต่อกฎหมายหรือเกินความรับผิดตามกฎหมายของฝ่ายนั้น ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ข้ออุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พ. และจำเลยต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่กลับกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์รับผิดต่อจำเลย เป็นการไม่ชอบนั้น เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งอำนาจการกำหนดค่าเสียหายของศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ป.พ.พ. มาตรา 442 บัญญัติว่า "ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม" และมาตรา 223 บัญญัติว่า "ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้น ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร..." บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดความรับผิดและค่าเสียหายต่อกันโดยให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใดซึ่งต้องถือเอาการกระทำละเมิดมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา หาได้ถือเอาความเสียหายมากน้อยเป็นเกณฑ์ไม่ หากต่างฝ่ายต่างกระทำละเมิดต่อกันและมีส่วนประมาทพอกันแล้ว ก็ไม่อาจเรียกค่าเสียหายต่อกันได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาว่า พ. และจำเลยต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้ว ค่าเสียหายที่จำเลยจะเรียกร้องจาก พ. ตามฟ้องแย้งย่อมตกเป็นพับ แม้จำเลยจะเสียหายมากกว่าก็ไม่อาจเรียกให้ พ. ชำระค่าเสียหายได้ พ. จึงไม่มีความรับผิดต่อจำเลย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องร่วมรับผิด
ป.พ.พ. มาตรา 442 บัญญัติว่า "ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม" และมาตรา 223 บัญญัติว่า "ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้น ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร..." บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดความรับผิดและค่าเสียหายต่อกันโดยให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใดซึ่งต้องถือเอาการกระทำละเมิดมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา หาได้ถือเอาความเสียหายมากน้อยเป็นเกณฑ์ไม่ หากต่างฝ่ายต่างกระทำละเมิดต่อกันและมีส่วนประมาทพอกันแล้ว ก็ไม่อาจเรียกค่าเสียหายต่อกันได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาว่า พ. และจำเลยต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้ว ค่าเสียหายที่จำเลยจะเรียกร้องจาก พ. ตามฟ้องแย้งย่อมตกเป็นพับ แม้จำเลยจะเสียหายมากกว่าก็ไม่อาจเรียกให้ พ. ชำระค่าเสียหายได้ พ. จึงไม่มีความรับผิดต่อจำเลย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องร่วมรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6522/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันของผู้เยาว์: โมฆะหากไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันสองฉบับ เพื่อค้ำประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 มีต่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ร. เจ้าหนี้เดิม เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2540 และ 19 กุมภาพันธ์ 2540 ตามลำดับ ในขณะที่จำเลยที่ 3 อายุยังไม่ครบยี่สิบปีบริบูรณ์ จึงยังไม่บรรลุนิติภาวะตาม ป.พ.พ. มาตรา 19 เพราะจำเลยที่ 3 เกิดวันที่ 11 มีนาคม 2520 การทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นการประกันโดยประการใด ๆ อันอาจมีผลให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ต้องถูกบังคับชำระหนี้หรือทำนิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็นผู้รับชำระหนี้ของบุคคลอื่น (จำเลยที่ 1) หรือแทนบุคคลอื่น (จำเลยที่ 1) จึงเป็นการทำนิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ ซึ่งตามมาตรา 1574 (10) แห่ง ป.พ.พ. ได้บัญญัติว่า ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต เมื่อโจทก์ไม่ได้แสดงพยานหลักฐานให้เห็นว่าในขณะที่จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกัน ผู้ใช้อำนาจปกครองของจำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากศาลให้จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันได้ การทำสัญญาค้ำประกัน จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ตกเป็นโมฆะและไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6498/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอออกหมายบังคับคดีเป็นคำขอฝ่ายเดียว ห้ามคู่ความโต้แย้งสิทธิหน้าที่
คดีนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ออกหมายบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 วรรคหนึ่ง ทั้งตามบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะขอให้บังคับคดียื่นเป็นคำขอฝ่ายเดียว และตามมาตรา 21 (3) ยังบัญญัติให้คำขอเพื่อให้ออกหมายบังคับคดีเป็นคำขอที่อยู่ในข้อยกเว้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ อันเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด จึงไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่อันใดเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่จำเลยทั้งสองจะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6057/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลายื่นฎีกาหลังศาลอนุญาตขยายเวลา โดยคำนึงถึงวันหยุดราชการ
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 ซึ่งเป็นวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คู่ความทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยถือว่าคำพิพากษานั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว จึงครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาในวันที่ 23 ตุลาคม 2557 อันเป็นวันหยุดราชการ ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2557 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต กรณีจึงต้องเริ่มนับกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาต่อจากวันที่ 23 ตุลาคม 2557 โดยเริ่มนับวันถัดไปเป็นวันแรกคือวันที่ 24 ตุลาคม 2557 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/7 และครบ 30 วัน ตรงกับวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 อันเป็นวันเสาร์หยุดราชการ ต่อมาในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต กรณีจึงต้องเริ่มนับกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาต่อจากวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 โดยเริ่มนับวันถัดไปเป็นวันแรกคือวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557 แม้วันดังกล่าวจะเป็นวันหยุดราชการก็ตาม และครบ 30 วัน ตรงกับวันที่ 22 ธันวาคม 2557 ซึ่งเป็นวันจันทร์อันเป็นวันสุดท้ายที่จำเลยจะมีสิทธิยื่นฎีกาตามกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2557 จึงพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5687/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลให้วางค่าขึ้นศาลในคดีล้มละลายที่ไม่ถูกต้อง ผู้ร้องขอให้ศาลรับคำร้องพิจารณาปล่อยทรัพย์ที่ยึด
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 แต่เป็นของผู้ร้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะสอบสวนให้ได้ความเสียก่อน เพื่อพิจารณาว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดในคดีล้มละลายหรือไม่ แล้วดำเนินการต่อไป การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ด่วนสั่งยกคำร้องโดยปฏิเสธว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจสั่งถอนการยึด จึงมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนและมีคำสั่งไม่ให้ถอนการยึดตามที่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 บัญญัติไว้ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา จึงมิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอเพื่อคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อศาลตามมาตรา 158 ที่บัญญัติให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งชี้ขาดเหมือนอย่างคดีธรรมดาซึ่งผู้ร้องขอต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ขอให้ถอนการยึดนั้น แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งได้รับความเสียหายโดยการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลตามมาตรา 146 ซึ่งตามตารางท้าย ป.วิ.พ. ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 วรรคท้าย มิได้กำหนดให้ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลหรือเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำร้องต่อศาล การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ขอให้ปล่อยก็ดี และมีคำสั่งไม่งดเว้นค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ก็ดี จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4633/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่สมบูรณ์หากไม่มีลายมือชื่อ การรับฟ้องที่ไม่ชอบทำให้กระบวนการพิจารณาเป็นโมฆะ
คำฟ้องที่ไม่มีลายมือชื่อของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่บริบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 67 (5) หากโจทก์หรือทนายโจทก์ไม่แก้ไขเพิ่มเติม โดยไม่ลงลายมือชื่อในคำฟ้องภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ย่อมเป็นการไม่ชอบ มีผลทำให้กระบวนพิจารณาภายหลังจากนั้นเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไปด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4533/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลต้องพิจารณาเหตุขอเลื่อนคดีตามกฎหมาย หากไม่อนุญาตอาจเสียความยุติธรรม
การขอเลื่อนคดีเนื่องจากมีเหตุจำเป็นของคู่ความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40 นั้น จะต้องมีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ และหากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะทำให้เสียความยุติธรรม ซึ่งศาลจะต้องพิจารณาว่าที่โจทก์ขอเลื่อนคดีนั้นมีเหตุทั้งสองประการดังกล่าวหรือไม่ หากได้ความตามบทบัญญัติดังกล่าว ก็อนุญาตให้เลื่อนคดี มิฉะนั้นต้องยกคำร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุประการแรกว่าได้ถอนทนายความคนเดิมและแต่งตั้งทนายความคนใหม่ซึ่งยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในคดี และประการที่สองว่าโจทก์เดินทางไปเยี่ยมมารดาซึ่งป่วยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงไม่อาจมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ โดยมีสำเนาตั๋วเครื่องบินเป็นหลักฐาน ศาลชั้นต้นจึงต้องพิจารณาเหตุแห่งการขอเลื่อนคดีดังกล่าวว่ามีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และหากศาลไม่อนุญาตจะทำให้เสียความยุติธรรมหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งว่า โจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายครั้งด้วยเหตุทำแผนที่พิพาท เมื่อศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทแล้วโจทก์ก็ไม่พอใจและขอเลื่อนคดีเพื่อทำแผนที่พิพาทใหม่มาหลายนัด หลังจากเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทใหม่โจทก์ก็ยังไม่พอใจ และขอเลื่อนคดีเพื่อขอเอกสารจากสำนักงานที่ดินมาเสนอต่อศาลอีกจนมาถึงนัดนี้ศาลกำหนดนัดล่วงหน้า 3 เดือนเศษ โจทก์ทราบวันนัด แต่ก็ไม่มาศาลทั้งไม่มีพยานอื่นมาศาล เชื่อว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานโจทก์ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีโดยไม่ได้พิจารณาเหตุแห่งการขอเลื่อนคดีตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่ามีเหตุตามบทบัญญัติของกฎหมายที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีได้หรือไม่ ซึ่งหากข้ออ้างทั้งสองประการดังกล่าวเป็นความจริง ก็ถือได้ว่ากรณีมีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ หากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะเสียความยุติธรรม แม้ระหว่างพิจารณาหลังจากจัดทำแผนที่พิพาทแล้ว โจทก์ขอเลื่อนคดีโดยแถลงขอให้เพิ่มเติมรายละเอียดในแผนที่พิพาท เช่น ขอให้ใส่รูปจำลองแผนที่หลังโฉนดที่ดินเดิมลงในแผนที่พิพาท รวมทั้งขอดำเนินการเกี่ยวกับต้นฉบับเอกสารคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท เป็นเหตุให้ต้องเสียเวลาไปมากก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้คัดค้าน และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตมาตลอด ตามรูปคดีก็จะถือว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้าหาได้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวหาเป็นการชอบไม่และถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการให้เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40
โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุประการแรกว่าได้ถอนทนายความคนเดิมและแต่งตั้งทนายความคนใหม่ซึ่งยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในคดี และประการที่สองว่าโจทก์เดินทางไปเยี่ยมมารดาซึ่งป่วยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงไม่อาจมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ โดยมีสำเนาตั๋วเครื่องบินเป็นหลักฐาน ศาลชั้นต้นจึงต้องพิจารณาเหตุแห่งการขอเลื่อนคดีดังกล่าวว่ามีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และหากศาลไม่อนุญาตจะทำให้เสียความยุติธรรมหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งว่า โจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายครั้งด้วยเหตุทำแผนที่พิพาท เมื่อศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทแล้วโจทก์ก็ไม่พอใจและขอเลื่อนคดีเพื่อทำแผนที่พิพาทใหม่มาหลายนัด หลังจากเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทใหม่โจทก์ก็ยังไม่พอใจ และขอเลื่อนคดีเพื่อขอเอกสารจากสำนักงานที่ดินมาเสนอต่อศาลอีกจนมาถึงนัดนี้ศาลกำหนดนัดล่วงหน้า 3 เดือนเศษ โจทก์ทราบวันนัด แต่ก็ไม่มาศาลทั้งไม่มีพยานอื่นมาศาล เชื่อว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานโจทก์ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีโดยไม่ได้พิจารณาเหตุแห่งการขอเลื่อนคดีตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่ามีเหตุตามบทบัญญัติของกฎหมายที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีได้หรือไม่ ซึ่งหากข้ออ้างทั้งสองประการดังกล่าวเป็นความจริง ก็ถือได้ว่ากรณีมีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ หากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะเสียความยุติธรรม แม้ระหว่างพิจารณาหลังจากจัดทำแผนที่พิพาทแล้ว โจทก์ขอเลื่อนคดีโดยแถลงขอให้เพิ่มเติมรายละเอียดในแผนที่พิพาท เช่น ขอให้ใส่รูปจำลองแผนที่หลังโฉนดที่ดินเดิมลงในแผนที่พิพาท รวมทั้งขอดำเนินการเกี่ยวกับต้นฉบับเอกสารคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท เป็นเหตุให้ต้องเสียเวลาไปมากก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้คัดค้าน และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตมาตลอด ตามรูปคดีก็จะถือว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้าหาได้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวหาเป็นการชอบไม่และถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการให้เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4533/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีต้องพิจารณาเหตุจำเป็นและผลกระทบต่อความยุติธรรม หากไม่พิจารณาเหตุผลของคู่ความ อาจเป็นเหตุให้ศาลใช้ดุลพินิจไม่ถูกต้อง
การขอเลื่อนคดีเนื่องจากมีเหตุจำเป็นของคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40 นั้น จะต้องมีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ และหากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะทำให้เสียความยุติธรรม ซึ่งศาลจะต้องพิจารณาว่าที่โจทก์ขอเลื่อนคดีนั้นมีเหตุทั้งสองประการดังกล่าวหรือไม่ หากได้ความตามบทบัญญัติดังกล่าว ก็อนุญาตให้เลื่อนคดี มิฉะนั้นต้องยกคำร้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุประการแรกว่าได้ถอนทนายความ
คนเดิมและแต่งตั้งทนายความคนใหม่ซึ่งยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในคดี และประการที่สองว่าโจทก์เดินทางไปเยี่ยมมารดาซึ่งป่วยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงไม่อาจมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายครั้งด้วยเหตุทำแผนที่พิพาท และขอเลื่อนคดีเพื่อขอเอกสารจากสำนักงานที่ดินมาเสนอต่อศาลอีกจนมาถึงนัดนี้ศาลกำหนดนัดล่วงหน้า 3 เดือนเศษ โจทก์ทราบวันนัด แต่ก็ไม่มาศาล ทั้งไม่มีพยานมาสืบ เชื่อว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานโจทก์ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีโดยไม่ได้พิจารณาเหตุแห่งการขอเลื่อนคดีตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่ามีเหตุตามบทบัญญัติของกฎหมายที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีได้หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง
ดังกล่าวหาเป็นการชอบไม่ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการให้เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40
คนเดิมและแต่งตั้งทนายความคนใหม่ซึ่งยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในคดี และประการที่สองว่าโจทก์เดินทางไปเยี่ยมมารดาซึ่งป่วยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงไม่อาจมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายครั้งด้วยเหตุทำแผนที่พิพาท และขอเลื่อนคดีเพื่อขอเอกสารจากสำนักงานที่ดินมาเสนอต่อศาลอีกจนมาถึงนัดนี้ศาลกำหนดนัดล่วงหน้า 3 เดือนเศษ โจทก์ทราบวันนัด แต่ก็ไม่มาศาล ทั้งไม่มีพยานมาสืบ เชื่อว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานโจทก์ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีโดยไม่ได้พิจารณาเหตุแห่งการขอเลื่อนคดีตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่ามีเหตุตามบทบัญญัติของกฎหมายที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีได้หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง
ดังกล่าวหาเป็นการชอบไม่ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการให้เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3940/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การลาป่วยด้วยใบรับรองแพทย์ และการมอบหมายหน้าที่อื่นแทนการไปศาล
ระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยกำหนดให้พนักงานมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง การลาป่วยตั้งแต่ 3 วันทำงาน ขึ้นไปนายจ้างอาจให้แสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งหรือของสถานพยาบาลของทางราชการ แม้ใบรับรองแพทย์ที่โจทก์นำมาแสดงจะมิใช่ของสถานพยาบาลของทางราชการ แต่ก็ออกโดยแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง จึงเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลย ไม่ถือว่าโจทก์ขาดงาน
การที่โจทก์ไม่เดินทางไปศาลตามหน้าที่ เนื่องจากโจทก์ทราบว่าจำเลยให้บุคคลอื่นไปแทนโจทก์แล้ว ถือว่าโจทก์มีเหตุที่จะไม่ไปศาลได้ และโจทก์ก็ได้เดินทางไปทำงานที่สำนักงานของจำเลย โดยแสดงใบรับรองแพทย์ถึงสาเหตุการหยุดงานเพราะป่วยต่อจำเลย จึงไม่เป็นการจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลย
การที่โจทก์ไม่เดินทางไปศาลตามหน้าที่ เนื่องจากโจทก์ทราบว่าจำเลยให้บุคคลอื่นไปแทนโจทก์แล้ว ถือว่าโจทก์มีเหตุที่จะไม่ไปศาลได้ และโจทก์ก็ได้เดินทางไปทำงานที่สำนักงานของจำเลย โดยแสดงใบรับรองแพทย์ถึงสาเหตุการหยุดงานเพราะป่วยต่อจำเลย จึงไม่เป็นการจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลย