พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาฎีกาที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับบริษัท และผลกระทบต่อการรับฎีกาของศาล
คำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา ฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2555 มีจำเลยที่ 1 ลงชื่อในคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้ลงชื่อในคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกามาด้วย ฉะนั้นแม้คำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาฉบับนี้จะได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 กับพวก ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาของจำเลยที่ 3 ด้วย การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาไปถึงจำเลยที่ 3 จึงเป็นการไม่ชอบ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาในครั้งที่ 2 ฉบับลงวันที่ 24 ตุลาคม 2555 ขอขยายระยะเวลาฎีกาออกไปเป็นเวลา 30 วัน แต่คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาฉบับดังกล่าวนี้ มีเพียงกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 คนเดียวลงชื่อและประทับตราของจำเลยที่ 1 จึงขัดกับข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองของจำเลยที่ 1 ที่ระบุว่าจำนวนหรือกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทได้คือ ก. หรือนาวาโท ช. ลงลายมือร่วมกับ ส. และประทับตราสำคัญของบริษัท การยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา ถือเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณา จำเลยที่ 1 ต้องทำตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนไม่ทำตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 อันถือเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 ดังนี้ ย่อมไม่ถือเสมือนเป็นการลงชื่อของจำเลยที่ 1 การยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2555 จึงไม่ชอบ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขยายระยะเวลาฎีกาในครั้งที่ 2 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 จึงไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 จึงเป็นการยื่นฎีกาเกินกำหนด 30 วัน นับแต่ได้รับอนุญาตให้ยื่นฎีกา โดยปราศจากเหตุสุดวิสัยไม่ชอบที่จะรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังกล่าวไว้พิจารณา ยกฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาในครั้งที่ 2 ฉบับลงวันที่ 24 ตุลาคม 2555 ขอขยายระยะเวลาฎีกาออกไปเป็นเวลา 30 วัน แต่คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาฉบับดังกล่าวนี้ มีเพียงกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 คนเดียวลงชื่อและประทับตราของจำเลยที่ 1 จึงขัดกับข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองของจำเลยที่ 1 ที่ระบุว่าจำนวนหรือกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทได้คือ ก. หรือนาวาโท ช. ลงลายมือร่วมกับ ส. และประทับตราสำคัญของบริษัท การยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา ถือเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณา จำเลยที่ 1 ต้องทำตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนไม่ทำตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 อันถือเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 ดังนี้ ย่อมไม่ถือเสมือนเป็นการลงชื่อของจำเลยที่ 1 การยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2555 จึงไม่ชอบ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขยายระยะเวลาฎีกาในครั้งที่ 2 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 จึงไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 จึงเป็นการยื่นฎีกาเกินกำหนด 30 วัน นับแต่ได้รับอนุญาตให้ยื่นฎีกา โดยปราศจากเหตุสุดวิสัยไม่ชอบที่จะรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังกล่าวไว้พิจารณา ยกฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8925/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด: ศาลมีอำนาจพิจารณาเข้าสู่กระบวนการ แม้มีปริมาณยาเสพติดน้อยกว่าเกณฑ์
แม้ พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 จะกำหนดการกระทำความผิดที่จะได้รับการพิจารณาเข้าสู่กระบวนพิจารณาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไว้ ได้แก่ 1. เสพยาเสพติด 2. เสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครอง 3. เสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 4. เสพและจำหน่ายยาเสพติด โดยไม่มีความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายแต่เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าวแสดงถึงเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในอันที่จะให้โอกาสผู้ที่เสพยาเสพติดให้โทษซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษฐานอื่นที่มีปริมาณยาเสพติดเล็กน้อยไม่เกินจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด เข้ากระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยต้องมีปริมาณเมทแอมเฟตามีนไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือมีน้ำหนักไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ดังนั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายที่มีปริมาณเมทแอมเฟตามีนไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ตามที่กฎกระทรวงกำหนด จึงถือได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดฐานเสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติด ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับการฟื้นฟูตามมาตรา 19 วรรคหนึ่งแล้ว
อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาว่าผู้กระทำผิดอยู่ในเงื่อนไข หรือหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการฟื้นฟูตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 หรือไม่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของศาล ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะโต้แย้งคัดค้านหรือวินิจฉัย ผู้คัดค้านมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่ถูกส่งมาให้สามารถกลับตัวเป็นพลเมืองดีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเท่านั้น
บทบัญญัติห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 เป็นกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับกระบวนพิจารณาในชั้นศาล เมื่อผู้คัดค้านปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล การที่ศาลมีคำสั่งยืนยันคำสั่งเดิมให้ผู้คัดค้านซึ่งไม่ใช่ศาลปฏิบัติตามคำสั่งต่อไป จึงมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำแต่อย่างใด
อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาว่าผู้กระทำผิดอยู่ในเงื่อนไข หรือหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการฟื้นฟูตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 หรือไม่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของศาล ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะโต้แย้งคัดค้านหรือวินิจฉัย ผู้คัดค้านมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่ถูกส่งมาให้สามารถกลับตัวเป็นพลเมืองดีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเท่านั้น
บทบัญญัติห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 เป็นกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับกระบวนพิจารณาในชั้นศาล เมื่อผู้คัดค้านปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล การที่ศาลมีคำสั่งยืนยันคำสั่งเดิมให้ผู้คัดค้านซึ่งไม่ใช่ศาลปฏิบัติตามคำสั่งต่อไป จึงมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8638/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ แม้หนังสือมอบอำนาจจะระบุศาลอื่น
เขตอำนาจศาลที่จะรับคำฟ้องย่อมเป็นไปตามสภาพแห่งคำฟ้องและชั้นของศาลว่าศาลนั้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และต้องปรากฏว่าคดีนั้นอยู่ในเขตศาลนั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้องและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตศาลด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 2 เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันระบุว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญากันที่สำนักงานของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ทั้งตามสัญญาเช่าซื้อยังระบุว่า คู่สัญญาตกลงกันว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญานี้ก็ให้เสนอคดีต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลชั้นต้นคดีนี้ อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลจังหวัดนนทบุรีต่างมีเขตอำนาจในคดีนี้ แม้หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจะระบุให้ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ แต่เมื่อศาลชั้นต้นเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนี้ด้วย ย่อมไม่จำกัดสิทธิของผู้รับมอบอำนาจที่จะฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลชั้นต้นที่คดีอยู่ในเขตอำนาจอีกศาลหนึ่งได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8608/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเลิกบุตรบุญธรรม: ผู้เลี้ยงดูเดิมไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย
การฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมกรณีที่ได้รับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมโดยศาลมีคำสั่งแทนคำยินยอมของบิดามารดา กระทำได้ต่อเมื่อมีคำสั่งศาลโดยคำร้องของผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/31 วรรคสาม โจทก์เป็นเพียงผู้ที่เคยเลี้ยงดูผู้เยาว์มาก่อนเท่านั้น จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะนำคดีมาฟ้องการเลิกรับบุตรบุญธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7134/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องหมิ่นประมาทจากการข่มขู่ทางกฎหมาย และหน้าที่ศาลในการสั่งค่าฤชาธรรมเนียม
จำเลยฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ ดังนี้ การบรรยายฟ้องว่า โจทก์พูดจาข่มขู่จำเลยอันมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยมอันเนื่องมาจากการที่จำเลยใช้สิทธิในการเข้าตรวจสอบที่ดินและอาคารตามฟ้องซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยโจทก์ได้พูดจาข่มขู่ต่อจำเลยว่า ใครเข้าไปเดี๋ยวจะเอาเข้าคุกให้หมดเลยทั้งคนเข้าไป จะเป็นทนายหรือตำรวจ เดี๋ยวจะเอาเข้าคุกให้หมด ทั้งที่จำเลยได้ซื้อที่ดินและอาคารมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายมากกว่าคนทั่วไปกลับกล่าวคำข่มขู่ดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ก้าวร้าว รุนแรง และมิใช่เป็นการข่มขู่ที่จะใช้สิทธิตามปกตินิยม ทำให้จำเลยกลัวและไม่สามารถตรวจสอบที่ดินและอาคารอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้อย่างสมัครใจเนื่องจากกลัวว่าโจทก์สามารถทำให้จำเลยเข้าคุกได้เพราะแม้แต่เจ้าพนักงานตำรวจโจทก์ยังกล้าพูดข่มขู่ จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาล ซึ่งจำเลยจำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้องเพื่อให้เห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ ถือได้ว่าเป็นข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาลของคู่ความเพื่อประโยชน์แก่คดีของตน จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และยกคำขอในส่วนแพ่ง เท่ากับศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งแล้ว และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ซึ่งเท่ากับศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งเช่นกัน การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาแล้วมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว แต่มิใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ตั้งแต่ต้น อันจะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และยกคำขอในส่วนแพ่ง เท่ากับศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งแล้ว และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ซึ่งเท่ากับศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งเช่นกัน การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาแล้วมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว แต่มิใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ตั้งแต่ต้น อันจะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6603/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ: ศาลใช้บทบัญญัติรื้อถอนตาม พ.ร.บ.การเดินเรือ แม้โจทก์มิได้ขอ
บทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 118 ทวิ วรรคหนึ่งและวรรคสองที่ว่า "ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรา 117... ให้เจ้าท่ามีคำสั่งเป็นหนังสือแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสิ่งอื่นใดดังกล่าวรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นให้เสร็จสิ้นโดยถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ในกรณีที่ไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครองให้เจ้าท่าปิดคำสั่งไว้ ณ อาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นและจะห้ามมิให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองนั้นใช้หรือยินยอมให้ผู้ใดใช้อาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือแก้ไขเสร็จด้วยก็ได้ ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าท่าตามวรรคหนึ่ง หรือในกรณีที่ไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง และเจ้าท่าได้ปิดคำสั่งไว้ ณ อาคาร หรือสิ่งอื่นใดนั้นครบสิบห้าวันแล้ว ให้เจ้าท่าร้องขอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งให้มีการรื้อถอนอาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้น ถ้าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่ามีการฝ่าฝืนมาตรา 117 จริง ในกรณีที่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสิ่งอื่นใด ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้รื้อถอน ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่รื้อถอนตามกำหนดเวลาในคำสั่งศาล หรือในกรณีที่ไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าท่าเป็นผู้จัดการให้มีการรื้อถอน" บทบัญญัติดังกล่าวเป็นคำขอให้บังคับทางแพ่งก็ตาม แต่การที่ศาลต้องรับฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่ามีการฝ่าฝืนมาตรา 117 จริงหรือไม่ เป็นคดีในส่วนอาญา การบังคับทางแพ่งดังกล่าวจึงถือเป็นผลอย่างหนึ่งของคดีอาญาซึ่งในที่สุดแล้วก็ต้องร้องขอต่อศาลในการที่จะบังคับให้เป็นไปตามบทบัญญัตินี้อยู่ดี เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญารับฟังได้ว่า มีการฝ่าฝืนมาตรา 117 จริงและยังไม่มีการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารให้เสร็จสิ้น ประกอบกับเป็นบทบัญญัติที่ให้มีการกำหนดเวลาให้ปฏิบัติตามคำสั่งด้วย อันเป็นการให้กำหนดเงื่อนเวลาการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารให้เป็นธรรมแก่จำเลยโดยไม่ให้เสียหายแก่ประโยชน์ส่วนรวม ทั้งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวก็เป็นการบัญญัติเปิดช่องให้เจ้าท่ามีสิทธิร้องขอต่อศาลได้เอง จึงไม่ใช่เป็นการบัญญัติให้ศาลจะมีคำสั่งได้เฉพาะแต่กรณีที่โจทก์มีคำขอเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้โดยชอบแล้ว เท่ากับจำเลยยอมรับว่ายังไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายนี้จริง และจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งมาตรา 118 ทวิ นี้อย่างไร จึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัย ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่มีคำขอให้บังคับทางแพ่งดังกล่าวมาก็ตาม ก็อาจเป็นเพราะโจทก์เห็นว่ามีบทบัญญัติข้างต้นเป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่ใช่กรณีที่โจทก์ประสงค์ที่จะไม่ให้บังคับตามนั้นแต่อย่างใด ศาลจึงใช้ดุลพินิจบังคับให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้ได้ คำพิพากษาส่วนนี้ของศาลล่างทั้งสองหาได้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่งไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6065/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าฤชาธรรมเนียมในสัญญาเช่า: ศาลชี้จำเลยต้องรับผิดตามกฎหมาย ไม่รวมค่าเดินทางทนาย
หนังสือสัญญาเช่าตึกแถวเป็นการตกลงว่า ถ้ามีการฟ้องคดีอันเกี่ยวกับสัญญาเช่านี้ จำเลยที่ 1 ผู้เช่ายอมชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตลอดทั้งค่าทนายความให้จนครบถ้วนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อันจะพึงมีขึ้น สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ค่าฤชาธรรมเนียม ได้แก่ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าสืบพยานหลักฐานนอกศาล ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของพยาน ผู้เชี่ยวชาญ ล่าม และเจ้าพนักงานศาล ค่าทนายความ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ตลอดจนค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บรรดาที่กฎหมายบังคับให้ชำระ" ซึ่งมาตรา 153/1 บัญญัติว่า "ค่าฤชาธรรมเนียมตาม มาตรา 149 ... ให้ชำระตามวิธีการและอัตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ หรือตามวิธีการและอัตราที่มีกฎหมายอื่นบังคับไว้" และมาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีเป็นผู้รับผิดในชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่ว่าคู่ความฝ่ายใดจะชนะคดีเต็มตามข้อหาหรือแต่บางส่วน ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ชนะคดีนั้นรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง หรือให้คู่ความแต่ละฝ่ายรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของตนหรือตามส่วนแห่งค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งคู่ความทุกฝ่ายได้เสียไปก่อนได้ตามที่ศาลจะใช้ดุลพินิจ โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดี" ดังนั้น สัญญาจ้างว่าความจึงเป็นสัญญาระหว่างโจทก์กับทนายโจทก์ ซึ่งตกลงกันเองไม่อาจนำมาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้แก่โจทก์ได้ โดยจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้แก่โจทก์ตามที่ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดตามกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พักของทนายความไม่อาจกำหนดให้ได้ เพราะมิใช่ค่าฤชาธรรมเนียมตามที่กฎหมายบัญญัติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบถามจำเลยหลังรับสารภาพคดีอาญา: ศาลต้องสอบถามฐานความผิดที่จำเลยรับสารภาพเพื่อพิพากษาลงโทษให้ถูกต้อง
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องคดีโจทก์ไว้พิจารณา ศาลชั้นต้นมีหน้าที่อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคสอง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นต้องสอบถามด้วยว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดนั้น แต่ศาลชั้นต้นมิได้สอบถามให้ชัดแจ้งกลับพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานดังกล่าว การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในส่วนนี้จึงไม่ชอบ และมีผลให้กระบวนพิจารณาถัดมา ตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงไม่ชอบไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4587/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในฐานะทายาทโดยธรรม แม้คำฟ้องมิได้ระบุชัดเจน ศาลใช้บทบัญญัติกฎหมายปรับใช้ได้
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ตาย ตามคำฟ้องจึงเป็นการขอให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายรับผิดในผลที่ผู้ตายกระทำละเมิดต่อโจทก์ ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจำเลยแถลงติดใจต่อสู้คดีเพียงว่า ผู้ตายไม่ได้เป็นผู้กระทำละเมิดและจำเลยไม่ได้เป็นตัวการในการกระทำละเมิดจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ มีผลเท่ากับจำเลยยอมรับว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยจึงเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 วรรคสอง แม้คำขอบังคับของโจทก์จะมิได้ระบุไว้ให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตาย แต่ศาลชั้นต้นย่อมยกบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวขึ้นปรับแก่คดีและพิพากษาให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายได้ มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินของตัวแทน และอำนาจศาลในการแก้ไขฐานความผิดเดิม
จำเลยที่ 1 มีหน้าที่นำน้ำมันของโจทก์ร่วมไปขายและรับเงินค่าขายน้ำมันจากลูกค้า ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับมอบเงินดังกล่าวไว้ในครอบครองในฐานะตัวแทนโจทก์ร่วมและมีหน้าที่ส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาไปบางส่วน จึงเป็นการยักยอกเงินค่าขายน้ำมันของโจทก์ร่วม เป็นความผิดฐานยักยอก แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญและจำเลยที่ 1 ไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม ประกอบมาตรา 215, 225 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225