คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีแพ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับคดีอาญาหลังจำเลยเสียชีวิต และผลกระทบต่อคดีแพ่งเกี่ยวเนื่อง
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา การพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46เมื่อจำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามมาตรา 39(1) เมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 4 จากสารบบความแล้ว ศาลจะพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไม่ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 เฉพาะคดีส่วนแพ่งก็ไม่อาจนำข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยอื่นมาฟังในคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของ จำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 จึงไม่เป็นการสะดวก แก่การพิจารณาพิพากษา ศาลชั้นต้นไม่เรียกทายาทจำเลยที่ 4 เข้ามา ในคดีจึงชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เป็นคดีใหม่นั้น เป็น เรื่องที่โจทก์ต้องไปร้องขอต่อศาลชั้นต้น จะขอขึ้นมา ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย และผลกระทบต่อการดำเนินคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่อง
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อจำเลยที่ 4ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปเมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 4 จากสารบบความแล้วศาลจะพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไม่ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4เฉพาะคดีส่วนแพ่งก็ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยอื่นมาฟังในคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ได้การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 จึงไม่เป็นการสะดวกแก่การพิจารณา ศาลย่อม ไม่อนุญาตให้เรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 328/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเบิกความเท็จในคดีแพ่ง: การบรรยายฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีแพ่ง เรื่องฟ้องหย่า ซึ่งมีข้อสำคัญในคดีว่าโจทก์จงใจละทิ้งร้างส.สามีโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปีตามที่ส.อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าหรือไม่โจทก์ได้บรรยายรายละเอียดข้อความที่จำเลยเบิกความ กับบรรยายว่าความจริงเป็นอย่างไร และคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีโดยกล่าวว่าศาลได้เชื่อคำเบิกความของจำเลยว่าโจทก์ได้จงใจละทิ้งร้าง ส. ไปเกินกว่า1 ปีจริง และพิพากษาให้หย่ากัน อันเป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นว่า คำเบิกความเท็จของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไรแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากคดีอาญาตัดสินว่าไม่ประมาท คดีแพ่งก็ต้องฟังตาม
คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จำเลยที่ 1ถูกพนักงานอัยการกองคดีแขวงพระนครใต้เป็นโจทก์ฟ้อง ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทหรือไม่ การฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าว ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีอาญาดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ดังนี้ศาลจะต้องฟังในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1มิได้ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทการกระทำของจำเลยที่ 1ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3130/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง: โจทก์ไม่ใช่คู่ความเดิมจึงไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
ในสำนวนคดีก่อน จำเลยทั้งสามในคดีนี้ฟ้องขอให้ห้าม ส.และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินตามฟ้องซึ่งมีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วย ส.ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนกับพี่น้องโดยได้รับมรดกมาจากมารดา หมายความว่า ส.กับโจทก์ต่างเป็นเจ้าของร่วมกันมีฐานะเท่าเทียมกันในที่ดิน มิใช่บริวารซึ่งกันและกัน และจำเลยทั้งสามก็ไม่ได้ขอให้ศาลออกคำบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวในฐานะเป็นบริวารของ ส. เพื่อให้คำพิพากษาคดีดังกล่าวมีผลบังคับแก่โจทก์ด้วยโจทก์จึงมิใช่คู่ความในคดีแพ่งดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่ง แม้มีการฟ้องล้มละลาย จำเลยยังคงเป็นหนี้
เมื่อคดีแพ่งที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ต่อโจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจะต้องผูกพันตามคำพิพากษานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คือต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนตามคำพิพากษา ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้ว่า คดีล้มละลายนั้นคู่ความไม่ต้องผูกพันในผลของคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยในคดีล้มละลายมีสิทธินำสืบว่าตนไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สมควรเป็นบุคคลล้มละลายตามที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงสิทธินำสืบทั่ว ๆ ไปของจำเลยเท่านั้น ไม่ถึงกับนำสืบหักล้างผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2823/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดี, พยานเบิกความ, และการรับฟังพยานหลักฐานในคดีแพ่ง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารของวัด จ.ได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารดังกล่าวให้โจทก์ ซึ่งผู้ให้เช่ายินยอมด้วย และตกลงทำสัญญาเช่าดังกล่าวให้โจทก์ หลังจากโจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าแล้ว จำเลยหาได้ส่งมอบอาคารดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบอาคารดังกล่าว ให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและชดใช้ค่าเสียหาย ดังนี้คำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ข้อความที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้นั้นเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์มีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบในชั้นพิจารณา ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายจำเลยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลย ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2530จำเลยนำพยานมาสืบเพียงปากเดียว ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 3 และ 24 กันยายน 2530 ซึ่งจำเลยนำพยานมาสืบเพียงวันละ 1 ปาก ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 5และ 19 พฤศจิกายน 2530 จำเลยมีพยานมาสืบในวันที่ 5 พฤศจิกายน2530 เพียงปากเดียว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานที่เหลือในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530 โดยกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จเมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าพยานป่วยกระทันหันเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง โดยมิได้ส่งใบรับรองแพทย์ต่อศาล ดังนี้ พฤติการณ์ในการดำเนินคดีดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานชอบแล้ว นางสาวก.เป็นพยานคู่กับโจทก์ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกันแต่เบิกความคนละวันกัน เป็นไปตามกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและทนายจำเลยได้ถามค้านพยานปากนี้แล้ว จำเลยจึงไม่เสียเปรียบเมื่อศาลเห็นว่าคำเบิกความของนางสาวก.เป็นที่เชื่อถือได้ก็ชอบที่จะรับฟังคำเบิกความของนางสาวก.ได้ ข้อเท็จจริงตามเอกสารบางฉบับ โจทก์เพียงใช้ประกอบคำเบิกความของพยาน มิได้เป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีและเอกสารบางฉบับจำเลยก็ยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในเอกสารนั้นแล้ว แม้โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวต่อศาลหรือมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลย ศาลย่อมรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่ง: ราคาทรัพย์สินต่ำกว่าสองแสนบาท และปัญหาข้อเท็จจริง
ปัญหาที่ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ และบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2374/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องดำเนินคดีอาญาจากความเสียหายจากการเบิกความเท็จในคดีแพ่ง โดยไม่จำต้องเป็นคู่ความ
จำเลยที่ 5 ได้จ้างวานให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เบิกความอันเป็นเท็จ และจำเลยดังกล่าวได้เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งของศาลชั้นต้น เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปโดยตรง โจทก์จึงเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ 5 และคำเบิกความเท็จของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)และมีอำนาจฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 (2) โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์ต้องเป็นคู่ความในคดีที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เบิกความเท็จนั้นหรือไม่
ฟ้องโจทก์บรรยายถึงคดีที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เบิกความอันเป็นเท็จ ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์จริง จึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว และการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เกิดจากจำเลยที่ 5 เป็นผู้จ้างวานหรือใช้ให้ยื่นคำร้องและเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาล ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้เสียหายจากการเบิกความเท็จในคดีแพ่งมีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้ แม้มิได้เป็นคู่ความในคดีแพ่ง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามเสียสิทธิในที่ดินไปโดยตรงโจทก์ทั้งสามจึงเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการเบิกความเท็จของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)และมีอำนาจฟ้องตามมาตรา 28(2) โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์ทั้งสามต้องเป็นคู่ความในคดีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2เบิกความเท็จเท่านั้นจึงจะเป็นผู้เสียหายได้ ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1และที่ 2 ย่อมยกขึ้นฎีกาได้ แม้ไม่เคยยกขึ้นว่ามาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ตามฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงคดีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จว่าเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1ขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงที่โจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. โดยจำเลยที่ 1 กล่าวอ้างในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินทั้งสองแปลงจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ทั้งฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงข้อความที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ได้เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงมาเป็นเวลา 20 ปีเศษ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านและจำเลยที่ 2 เบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงมาประมาณ 20 ปี ข้อความที่จำเลยที่ 1และที่ 2 เบิกความดังกล่าวนั้นเป็นความเท็จความจริงจำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองที่ดินทั้งสองแปลง จน ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ข้อความเท็จ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินทั้งสองแปลงโดยการครอบครองจริง จึงมีคำสั่ง ให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
of 122