คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีแรงงาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 497 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานในคดีแรงงาน: ศาลต้องเปิดโอกาสให้คู่ความนำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหา
คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคดีแรงงาน: ความเสียหายจากละเมิดและสัญญาจ้าง, อำนาจฟ้องศาลแรงงาน
ลูกจ้างกระทำความผิดอาญา ศาลพิพากษาปรับ นายจ้างได้ชำระค่าปรับและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแทนลูกจ้าง แล้วลูกจ้างทำสัญญาผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวแก่นายจ้างแต่ไม่ชำระ ดังนี้ แม้จะมีข้อสัญญาในสัญญาจ้างข้อ 11 ว่า หากลูกจ้างทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายไม่ว่ากรณีใด ๆ ลูกจ้างยอมชดใช้จนครบถ้วนก็ตาม คดีที่นายจ้างฟ้องลูกจ้างให้ชำระหนี้ดังกล่าวก็มิใช่เป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา 8 (1) ทั้งมิใช่เป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 เพราะการชำระค่าปรับเป็นหน้าที่ของลูกจ้าง นายจ้างหาจำต้องรับโทษปรับร่วมกับลูกจ้างไม่ นายจ้างจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ดังกล่าวเป็นคดีแรงงาน
ลูกจ้างขับรถยนต์ชนรถยนต์ของบุคคลภายนอกโดยละเมิดตามทางการที่จ้าง นายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 เป็นเรื่องที่ลูกจ้างได้กระทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายตามข้อ 11 ของสัญญาจ้างดังกล่าวแล้ว คดีที่นายจ้างฟ้องเรียกเงินที่ตนได้ชำระแก่บุคคลภายนอกแทนลูกจ้างไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา 8 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 นายจ้างมีอำนาจฟ้องเป็นคดีแรงงานได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้สัตยาบันคำให้การและการใช้ดุลพินิจรับพยานนอกกรอบกฎหมายในคดีแรงงาน
แม้ อ. ประธานกรรมการบริษัทจำเลยแต่ผู้เดียวทำหนังสือมอบอำนาจให้ ว. กรรมการบริหารมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยอันเป็นการไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยก็ตาม แต่หลังจาก ว. ได้ยื่นคำให้การต่อศาลแล้ว จำเลยก็ทำหนังสือมอบอำนาจใหม่ให้ ฉ.เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทนโดยอ.และว. ลงชื่อถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยเช่นนี้ การที่ ฉ. ดำเนินคดีต่อมาโดยนำสืบพยานไปตามคำให้การที่ ว. ต่อสู้คดีไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้ให้สัตยาบันยอมรับคำให้การดังกล่าวจึงมีสิทธินำสืบพยานไปตามคำให้การนั้นได้
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งเกี่ยวกับบัญชีระบุพยานของจำเลยว่า'รับ 5 อันดับ' แสดงว่าได้ใช้ดุลพินิจสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5927/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีแรงงาน แม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน หากศาลอนุญาตและพยานเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง
จำเลยนำพยานบุคคลเข้าสืบ 2 ปาก คือ ว. และ พ. โดยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลแรงงานกลางได้บันทึกคำพยานของ ว. แล้วถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ประกอบด้วยข้อกำหนดศาลแรงงาน ว่าด้วย การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2523 ข้อ 10 อนุญาตให้ ว. เบิกความเป็นพยานแล้วส่วน พ. ซึ่ง ว. เบิกความเกี่ยวพันถึง ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคำเบิกความของ พ. จะเป็นประโยชน์แก่คดีและอนุญาตให้จำเลยนำ พ. มาเบิกความเป็นพยาน ดังนี้ ถือได้ว่า พ. เป็นพยานของศาลตามความในมาตรา 45 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว พยานหลักฐานของจำเลยย่อมรับฟังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5926/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแรงงาน: การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต้องกระทบสิทธิผู้ฟ้องจึงมีอำนาจฟ้องได้
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า เดิมมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนอยู่แล้ว ต่อมาจำเลยประกาศใช้ระเบียบใหม่ปรับปรุงอัตราเงินเดือนโดยแบ่งครึ่งของแต่ละลำดับโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์เนื่องจากจำเลยสามารถพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ให้โจทก์เพียงครึ่งขั้นในรอบปีได้ ซึ่งปกติโจทก์ควรจะได้รับการพิจารณาเลื่อน 1 ขั้นเป็นอย่างน้อย ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำบัญชีอัตราเงินเดือนที่ได้ประกาศใช้ใหม่มาใช้บังคับกับ โจทก์แล้ว จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนบัญชีอัตราเงินเดือนดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5926/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแรงงาน: การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต้องมีผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว จึงจะฟ้องได้
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า เดิมมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนอยู่แล้ว ต่อมาจำเลยประกาศใช้ระเบียบใหม่ปรับปรุงอัตราเงินเดือนโดยแบ่งครึ่งของแต่ละลำดับโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์เนื่องจากจำเลยสามารถพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์เพียงครึ่งขั้นในรอบปีได้ ซึ่งปกติโจทก์ควรจะได้รับการพิจารณาเลื่อน 1 ขั้นเป็นอย่างน้อย ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำบัญชีอัตราเงินเดือนที่ได้ประกาศใช้ใหม่มาใช้บังคับกับโจทก์แล้ว จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนบัญชีอัตราเงินเดือนดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5485/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจ, อากรแสตมป์, และข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีแรงงาน
หนังสือมอบอำนาจแผ่นแรกระบุผู้มอบอำนาจไว้ว่า "ข้าพเจ้า ก.กับพวก รวม 4 คน" ขอมอบอำนาจให้ ส.เป็นผู้มีอำนาจฟ้องบริษัทท.เรื่อง ค่าจ้าง และในช่องผู้มอบอำนาจได้มีลายมือชื่อ ก. โจทก์ที่ 1 ลงไว้แต่ผู้เดียว แต่ในแผ่นที่ 2 ได้มีบัญชีรายชื่อลายมือชื่อ อายุ ที่อยู่ ผู้มอบอำนาจท้ายใบมอบอำนาจ และมีช่องแสดงลำดับที่รายชื่อ ผู้มอบอำนาจลายมือชื่อผู้มอบอำนาจ อายุและที่อยู่ไว้โดยโจทก์ทั้งสี่มีรายชื่อ ในช่องรายชื่อ ผู้มอบอำนาจและลงลายมือชื่อในช่องลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไว้ทุกคน และใช้เป็นเอกสารแนบท้ายหนังสือมอบอำนาจฉบับแรก ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์ทั้งสี่มอบอำนาจให้ ส.ฟ้องบริษัทท. เรื่องค่าจ้างซึ่งเป็นเรื่องเดียวโดยเฉพาะ จึงเป็นการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวกระทำการครั้งเดียวตามข้อ 7(ก) ของบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6เรื่อง อากรแสตมป์ แห่งประมวลรัษฎากร แม้ในหนังสือมอบอำนาจจะมีข้อความว่า โดยให้มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ทั้งสี่ทุกประการรวมทั้งกระบวนพิจารณาที่เป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิของคู่ความ เช่นการยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอน ฟ้องการประนีประนอมยอมความการสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาหรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้ด้วยก็ตาม ก็เป็นเรื่องกระบวนพิจารณาที่ผู้รับมอบอำนาจจำต้องกระทำในการพิจารณาของศาลอันสืบเนื่องมาจากการฟ้องคดีตามที่ได้รับมอบอำนาจ หาใช่เป็นเรื่องอื่นต่างหากจากการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ ดังนั้น ผู้มอบอำนาจจึงชอบที่จะเสียอากรโดยปิดแสตมป์เพียง 10 บาท อุทธรณ์ของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องขอให้ศาลฎีการับฟังว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันที่โจทก์ลาป่วย โดยจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ป่วยจริง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5256/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีแรงงาน และคำพิพากษาที่ไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน
จำเลยให้การว่าโจทก์รับเงินค่าระวางของจำนวน 600 บาทจากพนักงานของจำเลยแล้วทด เงินไว้เป็นเวลา 7 วัน เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนระเบียบของบริษัทจำเลยอย่างร้ายแรงศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ทุจริตเงินค่าระวางของจำนวน 600 บาทหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้องหรือไม่ดังนี้ ปัญหาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ จึงมิได้เป็นข้อพิพาทในคดี เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตเงินค่าระวางดังกล่าวอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงจึงมิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 นั้น ศาลแรงงานต้องพิจารณาว่าลูกจ้างกับนายจ้างอาจทำงานร่วมกันต่อไปได้หรือไม่เป็นประการแรก หากไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปจึงจะพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้ลูกจ้างเป็นประการที่สอง ศาลแรงงานพึงพิพากษาเพียงประการเดียว การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน หากไม่สามารถรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานได้ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างอันเป็นการพิพากษาสองประการโดยมีเงื่อนไขนั้น ย่อมเป็นการไม่ชอบ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แต่การพิจารณาถึงเหตุสองประการดังกล่าวเป็นดุลพินิจ ของศาลแรงงาน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องและขอบเขตการบังคับคดีในคดีแรงงาน: ศาลฎีกาอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้ แม้ไม่แก้ไขคำขอบังคับ
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า จำเลยได้หักเงินสะสมไว้เป็นรายเดือนในระหว่างปฏิบัติงาน โจทก์ควรได้เงินสะสมดังกล่าวแต่จำเลยไม่จ่ายให้ แม้โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้รับกับคำฟ้องที่แก้ไขก็ตามแต่ตามเนื้อความที่ขอแก้ไขนั้นแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้แจ้งชัดว่า โจทก์ประสงค์ที่จะเรียกร้องเงินสะสมจากจำเลย คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้ครบถ้วนเพียงเท่านี้ไม่ถือว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วพิพากษาหรือสั่งตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น หาเป็นการพิพากษาหรือสั่งที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 52 ไม่
คดีแรงงานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเองไม่ได้ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 31 และมาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องและคำขอบังคับในคดีแรงงาน ศาลอนุญาตแก้ไขได้หากเจตนาชัดเจน แม้ไม่แก้ไขคำขอบังคับ
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า จำเลยได้หักเงินสะสมไว้เป็นรายเดือนในระหว่างปฏิบัติงาน โจทก์ควรได้เงินสะสมดังกล่าวแต่จำเลยไม่จ่ายให้ แม้โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้รับกับคำฟ้องที่แก้ไขก็ตามแต่ตามเนื้อความที่ขอแก้ไขนั้นแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้แจ้งชัดว่า โจทก์ประสงค์ที่จะเรียกร้องเงินสะสมจากจำเลย คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้ครบถ้วนเพียงเท่านี้ไม่ถือว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วพิพากษาหรือสั่งตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น หาเป็นการพิพากษาหรือสั่งที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 52 ไม่
คดีแรงงานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเองไม่ได้ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31 และมาตรา 56.
of 50