พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,842 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบเกินคำฟ้องในคดีประกันภัย ศาลไม่อาจวินิจฉัยชดใช้ค่าเสียหายนอกเหนือจากที่ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับความเสียหายของสินค้าที่บรรจุในลังหมายเลข 8 ว่า เครื่องสูบจำนวน 4 ชุด หลวม ท่อแตกเสียหาย โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าสินค้าในลังหมายเลข 8 คือ เครื่องสูบจำนวน 4 ชุด สูญหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดจากสินค้าเครื่องสูบจำนวน 4 ชุด ซึ่งบรรจุในลังหมายเลข 8 เสียหาย เพราะเครื่องสูบหลวม ท่อแตกเสียหายเท่านั้น มิได้กล่าวอ้างให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดจากสินค้าเครื่องสูบสูญหายด้วย ซึ่งจำเลยก็ให้การว่าสินค้าในลังหมายเลข 8 เสียหายเพราะเครื่องสูบหลวมนั้นไม่ได้เกิดจากการขนส่ง แต่เป็นเพราะ ความบกพร่องของสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศซึ่งสัญญาประกันภัยไม่คุ้มครองความเสียหาย ประเด็นที่เกี่ยวกับสินค้าในลังหมายเลข 8 จึงมีเพียงว่า เครื่องสูบจำนวน 4 ชุด หลวม ท่อแตกเสียหายตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใดแม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นว่าสินค้าของโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด ก็หาได้หมายถึงว่าโจทก์มีสิทธิที่จะนำสืบถึงความเสียหายอื่น ๆ นอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องไม่ การที่โจทก์นำสืบและฎีกาขอให้ได้ รับชดใช้ค่าเสียหายสำหรับเครื่องสูบ 4 ชุด ที่สูญหายไป จึงเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงและฎีกาให้จำเลยรับผิดใน เรื่องนอกเหนือคำฟ้อง ซึ่งไม่เป็นประเด็นในคดี ศาลไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้
เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องยืนยันสภาพความเสียหายที่โจทก์ได้รับมาแน่นอน การที่โจทก์นำสืบถึงความเสียหายอย่างอื่นนอกเหนือจากความเสียหายที่โจทก์กล่าวมาในคำฟ้อง จึงมิใช่เป็นการนำสืบในรายละเอียดของความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจกำหนดค่าเสียหายสำหรับความเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้นได้
การที่ศาลจะมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ได้แม้โจทก์จะนำสืบค่าเสียหายไม่ได้แน่นอนนั้น หมายถึงกรณีที่โจทก์นำสืบถึงความเสียหายตามคำฟ้องได้แล้ว แต่นำสืบถึงค่าเสียหายไม่ได้แน่นอนเท่านั้น
เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องยืนยันสภาพความเสียหายที่โจทก์ได้รับมาแน่นอน การที่โจทก์นำสืบถึงความเสียหายอย่างอื่นนอกเหนือจากความเสียหายที่โจทก์กล่าวมาในคำฟ้อง จึงมิใช่เป็นการนำสืบในรายละเอียดของความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจกำหนดค่าเสียหายสำหรับความเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้นได้
การที่ศาลจะมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ได้แม้โจทก์จะนำสืบค่าเสียหายไม่ได้แน่นอนนั้น หมายถึงกรณีที่โจทก์นำสืบถึงความเสียหายตามคำฟ้องได้แล้ว แต่นำสืบถึงค่าเสียหายไม่ได้แน่นอนเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2747/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขาดประโยชน์จากรถยนต์: ความเสียหายหลังซ่อม กับ การไม่ชำระค่าซ่อม
แม้ว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 3.7.5 ระบุว่า การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ ซึ่งหมายความว่า จำเลยที่ 1 ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายส่วนที่เกิดแก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยที่ไม่อาจใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่ประกันภัย เนื่องจากอุบัติเหตุจนรถยนต์เสียหายใช้การไม่ได้ กล่าวคือ ค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้เริ่มนับแต่รถยนต์ที่ประกันภัยเกิดอุบัติเหตุเสียหายใช้การไม่ได้จนกระทั่งซ่อมเสร็จใช้การได้ตามปกติ โจทก์จะเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะเข้ายกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 3.7.5 ดังกล่าวก็ตาม แต่ความเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ของโจทก์ตามฟ้อง เป็นค่าขาดประโยชน์ที่เกิดขึ้นหลังจากซ่อมรถยนต์ของโจทก์เสร็จแล้วและเกิดจากเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระค่าซ่อมครบถ้วนแก่ผู้ซ่อม ทำให้ผู้ซ่อมใช้สิทธิยึดหน่วงรถยนต์ของโจทก์ไว้ ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ของโจทก์ดังกล่าว เป็นคนละส่วนกับค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเพราะเกิดจากคนละเหตุ โจทก์จึงเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ส่วนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของผู้เยาว์ และความรับผิดของบิดามารดาในการควบคุมดูแล ความเสียหายที่เหมาะสม
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่1ผู้เยาว์ใช้ไม้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายโจทก์ถูกที่บริเวณตาขวาเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46จำเลยที่1จะต่อสู้คดีและนำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ส่วนจำเลยที่2และที่3บิดามารดาของจำเลยที่1ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวด้วยผลของคำพิพากษาคดีส่วนอาญาย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่2และที่3ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแต่ต้องฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบในคดีแพ่งใหม่ได้ จำเลยที่1มีอายุ14ปีเศษมีความรู้ผิดชอบพอสมควรเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่1มีนิสัยเกเรชอบรังแกผู้อื่นมาก่อนย่อมเป็นการยากที่จะให้จำเลยที่2และที่3ซึ่งเป็นบิดามารดาใช้ความระมัดระวังควบคุมดูแลจำเลยที่1ตลอดเวลาทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่1ใช้ไม้ขว้างทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นการกระทำลับหลังจำเลยที่2และที่3จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่2และที่3ไม่อาจคาดคิดหรือควรคิดได้ว่าจำเลยที่1จะกระทำเช่นนั้นต่อโจทก์จำเลยที่2และที่3ไม่มีโอกาสปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ดีกว่านี้แล้วถือว่าจำเลยที่2และที่3ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่1แล้วจำเลยที่2และที่3จึงไม่ต้องรับผิดร่วมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน: การประเมินความเสียหายโดยตรงและผลกระทบต่อรายได้จากการทำเกษตร
ก่อนทำสัญญาจะขายที่ดินให้จำเลยทั้งห้าโจทก์ที่1มีรายได้จากการเลี้ยงสุกรและกรีดยางเมื่อโจทก์ที่1ขายที่ดินให้จำเลยทั้งห้าโจทก์ที่1ต้องหยุดกิจการเลี้ยงสุกรและกรีดยางลงฉะนั้นเมื่อจำเลยทั้งห้าผิดสัญญาไม่ซื้อที่ดินความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการไม่ได้เลี้ยงสุกรและการกรีดยางจึงเป็นความเสียหายโดยตรงจากการผิดสัญญาของจำเลยทั้งห้าการที่โจทก์ที่1ไม่หวนกลับไปเลี้ยงสุกรอีกไม่ทำให้ความเสียหายที่โจทก์ที่1มีอยู่แล้วหมดสิ้นไปแต่อย่างใดและการที่โจทก์ที่1ยกรายได้จากการกรีดยางให้มารดาก็เป็นเรื่องที่โจทก์ที่1มีรายได้แล้วยกให้มารดาเมื่อโจทก์ที่1ไม่มียางให้กรีดโจทก์ที่1ย่อมเสียหายจากการขาดรายได้จำนวนนี้จำเลยทั้งห้าจะโต้แย้งว่าโจทก์ที่1ไม่ได้รับความเสียหายจากการขาดรายได้ของมารดาโจทก์ที่1หาได้ไม่ การปรับปรุงที่ดินของจำเลยทั้งห้าภายหลังทำสัญญาก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งห้าเองจำเลยทั้งห้าจะนำเรื่องประโยชน์จากการที่จำเลยทั้งห้าเข้าปรับปรุงที่ดินมาคำนวณเพื่อลดค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2523/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: ความรับผิดของผู้เช่าซื้อต่อความเสียหายของทรัพย์สิน แม้เกิดจากอุบัติเหตุ
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า "ผู้เช่าซื้อสัญญาว่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อนี้ด้วยความระมัดระวังอย่างดีที่สุด... หากเกิดความเสียหายขึ้นจะโดยเหตุเพราะผู้เช่าซื้อหรือบุคคลภายนอก หรือโดยอุบัติเหตุสุดวิสัยก็ตาม อันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินสูญหายไป หรือเสียหายจนไม่อาจจะแก้ไขให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ หรือการซ่อมแซมแก้ไขนั้นคิดเป็นเงินเกินกว่าครึ่งหนึ่งของราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อแล้วผู้เช่าซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ..." ดังนี้เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปประสบอุบัติเหตุเสียหายทั้งคันและถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้จำเลยที่ 1 ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนตามสัญญาที่ตกลงกันดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบถึงอุบัติเหตุดังกล่าวหาทำให้จำเลยที่ 1 พ้นความรับผิดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในคดีครอบครองที่ดิน: พิจารณาความล่าช้าในการยื่นคำร้องและการก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย
คดีมีประเด็นพิพาทว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตทุ่งทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือหมู่ ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาโดยยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวและตามคำฟ้องของโจทก์กับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทดังนั้น หากจำเลยได้ใช้ให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเข้าไปปักป้ายโฆษณาไถปรับพื้นดิน และทำการก่อสร้างในที่ดินพิพาทซึ่งแม้จะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากฟ้องคดี แต่ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้ หากศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีแม้โจทก์จะร้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสามมิให้กระทำการใด ๆในที่ดินพิพาทตามคำร้องของ โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2)(เดิม) ก็ตามแต่เมื่อปรากฏตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์เองว่า จำเลย ได้เข้าไปทำการบนที่ดินพิพาทของโจทก์และลงมือปรับพื้นที่ทำการก่อสร้างตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นเวลา 5 เดือนเศษดังนั้น การยื่นคำขอของโจทก์จึงล่วงเลยเวลาอันสมควร ทั้งหากจะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์มาใช้แก่จำเลย ในคดีนี้ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยเช่นเดียวกัน ตาม พฤติการณ์ในกรณีเช่นนี้จึงยังไม่สมควรที่ศาลจะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) มาใช้แก่ จำเลยตามคำขอของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต่างกัน: ความเสียหายหลังคำพิพากษาเดิม ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
แม้คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างมูลเหตุว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่าย ผิดสัญญาเช่าซื้อเช่นเดียวกับคดีก่อน แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องอ้างว่า หลังจากศาลมีคำพิพากษาคดีก่อนแล้ว จำเลยทั้งสองไม่คืนรถแก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ได้ไปยึดรถจากจำเลยทั้งสอง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการยึดรถคืน ซึ่งความเสียหายของโจทก์ ตามฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อน ดังนี้คำขอให้บังคับจำเลยตามฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต่างจาก คำขอของโจทก์ในคดีก่อน และมิใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อน ได้วินิจฉัยแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ทั้งมิใช่กรณี ที่จะไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดี ฟ้องโจทก์คดีนี้จึง ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาต้องไม่ล่าช้า และคำนึงถึงความเสียหายของคู่กรณี
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยทั้งสามออกเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินพิพาทให้โจทก์จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตทุ่งทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง ขอให้ขับไล่โจทก์ออกไป คดีจึงมีประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาโจทก์เป็นผู้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสามใช้ให้ หจก.ค.เข้าไปปักป้ายโฆษณาไถปรับพื้นดินทำการก่อสร้างสวน และวิทยาลัยในที่ดินพิพาท ย่อมอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสามมิให้กระทำการใด ๆในที่ดินพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2)แต่ปรากฎว่าโจทก์เพิ่งยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาต่อศาล หลังจากที่จำเลยทั้งสามได้เข้าดำเนินการก่อสร้างในที่ดินพิพาทแล้ว เป็นเวลานานถึง 5 เดือนเศษ การยื่นคำขอของโจทก์จึงล่วงเลยเวลาอันสมควร ทั้งหากจะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาใช้ก็ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสามเช่นเดียวกัน ตามพฤติการณ์เช่นนี้จึงยังไม่สมควรที่จะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) มาใช้แก่จำเลยทั้งสาม ในการยื่นฎีกาคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท เมื่อโจทก์เสียค่าขึ้นศาลเกินมา จึงต้องคืนเงินส่วนที่เกินให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดความเสียหายและรับผิดชอบค่าเสียหายได้
เมื่อปรากฏว่าหนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินเป็นเอกสารที่โจทก์มีหน้าที่ต้องถ่ายสำเนาแพร่ให้สำนักงานการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ การที่โจทก์ไม่กระทำตามหน้าที่จนมีการจ่ายเงินผิดพลาด ถือว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยมีคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่โจทก์และให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ลูกจ้างในการถ่ายสำเนาเอกสารสำคัญและส่งต่อหน่วยงานเกี่ยวข้อง การประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหาย
เมื่อปรากฎว่าหนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินเป็นเอกสารที่โจทก์มีหน้าที่ต้องถ่ายสำเนาแพร่ให้สำนักงานการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ การที่โจทก์ไม่กระทำตามหน้าที่จนมีการจ่ายเงินผิดพลาด ถือว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยมีคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่โจทก์และให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้