พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1428/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีแรงงาน: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยยุติได้หากพยานหลักฐานเพียงพอ และการอุทธรณ์ดุลพินิจเป็นอุทธรณ์ต้องห้าม
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ใบสำคัญการรับเงินค่าชดเชยเอกสารหมายล.2 โจทก์เป็นผู้ทำและกรอกข้อความเองทั้งหมด พอตีความในเนื้อความดังกล่าวได้ว่าโจทก์มีเจตนายอมรับในการที่จำเลยเลิกจ้างและค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้ แม้เอกสารหมาย ล.2 ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกเงินไว้ก็ตาม แต่ที่โจทก์ยอมทำเอกสารหมาย ล.2 ตามข้อเสนอของจำเลยย่อมตีเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ยอมรับค่าชดเชยที่จำเลยเสนอและโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นอีก และการแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ลงวันที่ 17กรกฎาคม 2541 ซึ่งโจทก์รับว่าได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่โต้เถียงเกี่ยวกับการสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยอีกตามที่จำเลยอ้าง แสดงว่าข้อกล่าวอ้างของจำเลยดังกล่าวนั้นมีจริง เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งต้องถือว่าโจทก์ยอมรับนั้น ศาลแรงงานได้วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารหมาย ล.2 ไม่ปรากฏข้อความว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยทั้งสิ้นดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย 3 เดือน โดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างเดือนละ 10,224 บาท ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์จำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
ป.วิ.พ.มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ดังนี้การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติและพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกันถือได้ว่าศาลแรงงานได้ใช้ดุลพินิจวิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นการชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว
ป.วิ.พ.มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ดังนี้การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติและพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกันถือได้ว่าศาลแรงงานได้ใช้ดุลพินิจวิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นการชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1428/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและการโต้แย้งดุลพินิจศาลแรงงานในการรับฟังพยานหลักฐาน
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ใบสำคัญการรับเงินค่าชดเชยเอกสารหมาย ล.2 โจทก์เป็นผู้ทำและกรอกข้อความเองทั้งหมดพอตีความในเนื้อความดังกล่าวได้ว่า โจทก์มีเจตนายอมรับในการที่จำเลยเลิกจ้างและค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้แม้เอกสารหมาย ล.2 ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกเงินไว้ก็ตาม แต่ที่โจทก์ยอมทำเอกสารหมาย ล.2ตามข้อเสนอของจำเลยย่อมตีเจตนาของโจทก์ได้ว่าโจทก์ยอมรับค่าชดเชยที่จำเลยเสนอและโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นอีก และการแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงาน ซึ่งโจทก์รับว่าได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่โต้เถียงเกี่ยวกับการสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยอีกตามที่จำเลยอ้าง แสดงว่าข้อกล่าวอ้างของ จำเลยดังกล่าวนั้นมีจริงเมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งต้องถือว่าโจทก์ยอมรับนั้น ศาลแรงงานได้วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารหมาย ล.2 ไม่ปรากฏข้อความว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยทั้งสิ้นดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย3 เดือน โดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างเดือนละ 10,224 บาทก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย ส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์จำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน เป็นอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไป ตามนั้น ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลม ใช้กับคดีแรงงานด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ดังนี้การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสาร ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติ และพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัย คดีตามที่คู่ความรับกัน ถือได้ว่าศาลแรงงานได้ใช้ดุลพินิจ วิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริง ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและคำเบิกความที่สอดคล้องกัน
ประจักษ์พยานฝ่ายโจทก์เบิกความยืนยันว่าได้พูดคุยกับพวก ของจำเลยและจำเลยเป็นเวลานานในระยะใกล้ชิดถึงสองครั้ง โดยไม่ปรากฏว่าพวกของจำเลยและจำเลยสวมหมวกหรือปกปิดใบหน้า ซึ่งพยานโจทก์จำได้แม่นยำว่าคือจำเลย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดูภาพถ่ายจำเลย พยานก็สามารถชี้ได้ถูกต้อง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พยานก็ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องอีก หลังเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจก็ขาดราชการจนถูกไล่ออกจากราชการเป็นพิรุธบ่งชี้ว่าจำเลยขาดราชการเพื่อหลบหนี การจับกุม ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย การที่พยานโจทก์เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุดังกล่าวจำเลยกับพวกเคยเรียกร้องเอาเงินในลักษณะเดียวกันจาก ผู้เสียหายมาก่อนและได้กระทำต่อเนื่องกันมา จนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม เป็นการนำสืบในประเด็นเพื่อให้น่าเชื่อ ว่าพยานโจทก์เคยเห็นจำเลยมาก่อนและสามารถจำจำเลยได้ การฟ้อง ก็ไม่จำต้องระบุข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในฟ้องเพราะเป็น รายละเอียดที่โจทก์นำสืบในภายหลังได้ การนำสืบของโจทก์ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง และพนักงานสอบสวนได้สอบสวนพยานโจทก์เกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยในคดีนี้แล้วแม้จะมิได้สอบสวนถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ได้กระทำมาก่อนดังกล่าวก็ถือว่าพนักงานสอบสวนได้สอบสวน คดีนี้โดยชอบแล้ว โจทก์จึงนำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ และไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ส่วนการที่พยานโจทก์ เบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับการสวมหมวกนิรภัยของจำเลย นั้นอาจเป็นเพราะพยานไม่ทันสังเกตหมวกนิรภัย หาทำให้ คำเบิกความในข้ออื่นมีน้ำหนักลดน้อยลงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีร่วมกันจ้างวานและลงมือสังหารเหยื่อ โดยมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงผู้ต้องหาหลายคนถึงการวางแผนและลงมือกระทำผิด
คำให้การและคำเบิกความของพยานโจทก์ที่ว่าจำเลยใช้ให้ บ. กับ ส. ฆ่าผู้ตายนั้น ในส่วนสาระสำคัญสอดคล้องกันทุกประการ จะมีแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียง พลความเท่านั้นไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ขาดน้ำหนักในการรับฟัง และในที่สุด บ. กับ ส. มิได้เป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย คนร้ายที่ฆ่าผู้ตายเป็นกลุ่มบุคคลอื่น ซึ่งต่อมาถูกดำเนินคดีและศาลพิพากษาลงโทษแล้ว กลุ่มคนร้ายที่ฆ่าผู้ตาย ไม่มีความเกี่ยวพันกับ บ. และ ส.หากเรื่องไม่เป็นความจริงก็ไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์จะแกล้งปรักปรำจำเลยในความผิด ข้อหาอุกฉกรรจ์พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้โดยปราศจากสงสัย ว่าจำเลยใช้ให้ บ.และ ส. ฆ่าผู้ตาย แต่ บ.และ ส. มิได้กระทำการตามที่จำเลยใช้ จำเลยจึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสองตอนท้าย ประกอบมาตรา 289(4) คำซัดทอดระหว่างผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้รับฟังคำให้การเช่นว่านี้เสียทีเดียวหากการซัดทอดมีเหตุผลรับฟังได้ ศาลมีอำนาจรับฟังมาประกอบการพิจารณาได้ ว. จำคนร้ายไม่ได้และไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใครขณะเกิดเหตุ ว. กำลังขับรถคนร้ายยิงผู้ตายแล้วขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทันที ว. ทราบเหตุต่อเมื่อผู้ตายถูกยิงแล้ว และล้มตัวเข้ามาหาพร้อมกับบอกว่าถูกยิง เชื่อว่าขณะนั้นคนร้ายหลบหนีไปแล้ว คำเบิกความของ ว. จึงไม่มีผลทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานอื่นของโจทก์หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับ ส. และ น. ได้ บุคคลทั้งสองพาไปหาหมวกกันน็อกที่ทิ้งไว้ในป่าหญ้าข้างทาง ปรากฏว่าหมวกใบหนึ่งมีเส้นผมติดอยู่ จากการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญ ปรากฏว่าเป็นเส้นผมของ น. การตรวจพิสูจน์นี้เป็นการทำตามหลักวิชาและมีความแน่นอนสามารถเชื่อถือได้ ประกอบกับ อาวุธปืนที่ น. ใช้ยิงผู้ตายได้มีการดัดแปลงแก้ไขให้ผิดไปจากเดิมอันเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์ มีน้ำหนักมั่นคงโดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยคือการติดต่อว่าจ้าง อ.กับ ก.ให้ฆ่าผู้ตาย ที่ ก.ขอให้ ส.เข้ามาช่วยเหลือแล้วส. ไปว่าจ้าง กต.และสจ. ให้มาร่วมก็เพียงเพื่อให้สามารถฆ่าผู้ตายให้สำเร็จตามที่ ก. รับจ้างมาจากจำเลยเมื่อ กต.กับสจ.ล้มเลิกส. และ ก. จึงไปติดต่อ น.กับ ช.ให้เข้ามาร่วมทำงานต่อไปจนสำเร็จการที่ส.ก.กต.และสจ. ได้ร่วมกันไปดักยิงผู้ตายหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จแล้วในที่สุด ส.ก.น.และช. สามารถฆ่าผู้ตายได้สำเร็จ จึงเป็นผลของการกระทำที่สืบเนื่องติดต่อมาจากการว่าจ้างของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 วรรคสอง ประกอบมาตรา 289(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานจากคำรับสารภาพและปริมาณยาเสพติด
โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพ และคดีนี้มีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้าม มิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งแต่จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า "การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณ เป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่าผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย" จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 1 จำนวน 50 เม็ด น้ำหนักรวม 4.12 กรัม จำเลย จึงน่าจะมีความผิดเพียงฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้นได้ ยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ในปริมาณ ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัม ขึ้นไป เป็นปริมาณที่ มาก จนกระทั่งกฎหมายเห็นว่า การผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองในปริมาณดังกล่าวผู้กระทำ น่าจะมีเจตนามิใช่เพื่อการใช้อย่างปกติทั่วไปคือเพื่อเสพ แต่น่าจะมีเจตนาพิเศษคือเพื่อจำหน่าย กฎหมายจึงสันนิษฐาน โดยให้ถือว่าการกระทำในปริมาณดังกล่าวเป็นการกระทำ โดยมีเจตนาเพื่อจำหน่าย แม้จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพียง 4.12 กรัมทั้งมิได้คำนวณเป็นปริมาณสารบริสุทธิ์ จะไม่เข้าข้อสันนิษฐานของบทกฎหมายที่ว่าจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายก็ตามแต่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเพราะจำเลย มีเมทแอมเฟตามีนมากถึง 50 เม็ด และมีพฤติการณ์ว่าน่าจะมีไว้เพื่อจำหน่าย ในชั้นสอบสวนเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยเพิ่มเติมว่ามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยให้การรับสารภาพ และในชั้นพิจารณา ของศาลจำเลยก็ให้การรับสารภาพเช่นเดิมอีก เมื่อศาลชั้นต้น สืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้วเชื่อว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริงจึงได้ลงโทษตามพยานหลักฐานที่พิจารณาได้ความเช่นนี้ศาลล่างทั้งสองหาได้ลงโทษโดยนำข้อสันนิษฐานของกฎหมายมาปรับใช้ไม่ ดังนี้ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษจำเลยร่วมกระทำความผิดอาญาอาศัยพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายและท่าทางประกอบคำรับสารภาพ
ที่เหตุเกิดเป็นทางสัญจรและเป็นถนนสายหลักสายสำคัญ จึงน่าเชื่อว่าเวลา 1 นาฬิกา ยังมีรถแล่นอยู่และต้อง เปิดไฟสว่างแล่นสวนกันไปมา เชื่อว่าผู้เสียหายกับ ส. ต้องเห็นและจำคนร้ายได้ถนัดโดยเฉพาะคนร้ายที่ไม่ได้ สวมหมวกนิรภัย นอกจากนี้หลังเกิดเหตุผู้เสียหายกับ ส. ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบถึงลักษณะของคนร้าย เมื่อจับคนร้ายได้ผู้เสียหายกับ ส. ไปดูตัวและยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ใช้มีดฟันสายรัดกระเป๋าเสื้อผ้า กับจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายที่ใช้ไขควงจี้คุมผู้เสียหายกับ ส. ทั้งจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและนำชี้ ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ แม้จำเลยที่ 3 จะนำสืบว่า คำให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่และ ทำร้ายก็ตาม แต่ได้ความว่าในชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพ ส่วนผู้ต้องหาอื่นอีก 4 คน ให้การปฏิเสธ ถ้ามีการข่ม ขู่หรือทำร้ายจริงเหตุใดเจ้าพนักงานตำรวจ จึงบังคับแต่เพียงจำเลยที่ 3 ไม่บังคับบุคคลที่ให้การปฏิเสธ ดังกล่าวให้ให้การรับสารภาพด้วย พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำความผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐาน, การพิสูจน์ความผิดอาญา, และหลักการสงสัยต้องเป็นประโยชน์แก่จำเลย
ตามปกติวิสัยของคนร้ายย่อมจะต้องปกปิดมิให้บุคคลอื่น รู้เห็นการกระทำความผิดของตน การที่ จ. รู้จักกับจำเลยมาก่อนเพราะเป็นญาติกัน หากจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย จริงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าขณะรถจักรยานยนต์ที่จำเลย นั่งซ้อนท้ายแล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่ น.ขับจำเลยจะพยัก หน้าทักทายกับ จ. ทั้งไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยจะยิงผู้ตายในขณะที่รถจักรยานยนต์ที่ น. ขับและ จ.นั่งซ้อนท้ายเพิ่งจะแล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายไปเพียงครึ่งนาที ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่ น. ขับและ จ.นั่งซ้อนท้ายแล่นไปได้เพียง 40 วาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ความจากคำเบิกความของ พันตำรวจโท ย.พนักงานสอบสวนว่า หลังเกิดเหตุประมาณ1 ถึง 2 วัน จึงทราบว่าจำเลยเป็นคนร้าย โดยทราบจากการ สอบสวน ซึ่งหาก จ.รู้เห็นเหตุการณ์จริง จ.ย่อมจะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบในคืนเกิดเหตุทันทีเพราะผู้ตาย เป็นน้องของตน แต่ จ.หาได้กระทำไม่แม้ ร.ภริยาผู้ตายจะเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุ หลังจากพยานดูศพผู้ตายแล้ว จ. และ น. ไปบอกพยานที่บ้านว่าเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้นก็คงมี ร.เบิกความกล่าวอ้างลอย ๆจ. และ น.หาได้เบิกความถึงข้อนี้ไม่ ซึ่งหากเป็นความจริงแล้ว ร.คงจะไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนในคืนเกิดเหตุเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นจับกุมตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิด โดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์ แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกฟ้องจำเลยเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ และขอบเขตความรับผิดทางอาญา
จำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนของกลางน้ำหนัก 4.129 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าวให้แก่สิบตำรวจเอก ค.กับสายลับที่ไปล่อซื้อ นอกจากนี้แล้วจำเลยที่ 1 ยังมีกัญชาแห้งจำนวน 1 ถุง น้ำหนัก580 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่พยานหลักฐานของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1ในความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเฮโรอีนจริงหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา227 วรรคสอง ดังนี้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 มีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา185 แม้ความผิดฐานนี้ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องในความผิดร่วมกันมีและจำหน่ายยาเสพติด เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้
จำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนของกลางน้ำหนัก 4.129 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าวให้แก่สิบตำรวจเอก ค.กับสายลับที่ไปล่อซื้อ นอกจากนี้แล้วจำเลยที่ 1 ยังมีกัญชาแห้งจำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 580 กรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่พยานหลักฐานของโจทก์ เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานมีเฮโรอีน ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนจริงหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองดังนี้ ศาลฎีกายังมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความดีฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 มีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 แม้ความผิดฐานนี้ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 2ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันปล้นทรัพย์: พยานหลักฐานยืนยันตัวผู้กระทำผิดจากคำเบิกความผู้เสียหายและการชี้ตัว
ขณะเกิดเหตุในบ้าน มีไฟนีออนเปิดสว่างอยู่ 6 ดวง ผู้เสียหายทั้งแปด และ ม. ก็อยู่ที่บ้านเห็นจำเลยที่ 1 กับพวกอีกคนหนึ่งถืออาวุธปืนสั้นเข้ามาในบ้านโดยมีพวก อีก 2 คน อยู่นอกบ้าน บังคับเอาทรัพย์จากผู้เสียหายทั้งแปดไป เชื่อว่าเป็นความจริง เพราะพยานแต่ละคนมีโอกาสเห็น จำเลยที่ 1 เป็นเวลานาน เมื่อจับจำเลยที่ 1 ได้ และจัดให้มีการชี้ตัวคนร้ายพยานทั้งหมดดังกล่าว ก็ชี้ได้ถูกต้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ ร่วมปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตาม เอาโทรทัศน์ กบไฟฟ้า และสร้อยคอทองคำ ของผู้เสียหาย จากผู้รับของดังกล่าวมาเป็นของกลาง นอกจากนั้นยังให้การ รับสารภาพในชั้นสอบสวน อันสนับสนุนให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายจริง เมื่อพยานโจทก์ทุกคนไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อน เชื่อว่าทุกคนได้เบิกความตามสัตย์จริงหาได้แกล้งกล่าวหา จำเลยที่ 1 ไม่ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย