พบผลลัพธ์ทั้งหมด 477 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนัดแก้คดีและการขาดนัดพิจารณา: การนัดให้จำเลยแก้คดีไม่ใช่การนัดพิจารณาคดี และโจทก์ไม่ขาดนัด
โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าจำเลยหมิ่นประมาทใส่ความ ศาลนัดไต่สวนแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง และให้หมายเรียกจำเลยมาแก้คดีในวันที่ 22 มีนาคม 2499 และให้โจทก์เซ็นทราบไว้ด้วย ครั้นถึงวันที่ 22 มีนาคม 2499 จำเลยยื่นคำให้การ ศาลเรียกคู่ความเพื่อสอบถามคำให้การจำเลยแต่โจทก์ไม่มาศาลในวันนี้ ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียโดยหาว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไม่ได้ เพราะไม่มีการนัดเป็นกิจลักษณะว่าจะดำเนินกระบวนพิจารณา และกรณีไม่เข้าตามมาตรา 174 แห่งวิธีพิจารณาความแพ่งฯไม่เป็นการทิ้งฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาฐานสมคบกันทำผิด และการลงโทษเฉพาะผู้ลงมือ กระบวนการพิจารณาคดีอาญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยแต่ละคนได้บังอาจใช้มีดแทงเขาตายโดยเจนาจะฆ่า เมื่อนำสืบได้ว่าใครแทง ศาลก็ลงโทษเฉพาะผู้นั้น ส่วนที่โจทก์สืบได้เพียงว่าไปอยู่ในที่วิวาทช่วยกลุ้มรุม แต่ไม่มีมีด ไม่มีพยานเห็นแทงจึงลงโทษไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าสมคบกัน เพียงแต่อ้างกฎหมายลักษณะอาญา ม.63 ฐานสมคบมาอย่างเดียวไม่พอ ลงโทษไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับข้อเท็จจริงจากการไม่ปฏิเสธคำฟ้อง และผลต่อการพิจารณาคดีเช่าทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยเช่าห้องรายพิพาทเพื่อประกอบการค้าจำเลยให้การว่าได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์จริงแต่เรื่องการค้าจำเลยไม่ได้ปฏิเสธเช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยรับว่าจำเลยประกอบการค้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับทรัพย์สินเด็ก: สิทธิของมารดา, ผลผูกพัน, และการพิจารณาคดี
จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นว่าสัญญาท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นสัญญาประนีประนอม ดังนี้ประเด็นข้อวินิจฉัยก็อยู่ที่ว่าข้อความที่ปรากฏในเอกสารฉบับนั้นจะเป็นการเพียงพอตามกฎหมายที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตามนั้นหรือไม่เท่านั้น ถ้าศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หรือข้อความกำกวมจำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานอื่นต่อไปก่อนก็อาจระงับไว้ โดยยังไม่วินิจฉัยปัญหาเบี้องต้นในชั้นนี้ก็ได้
อนึ่งยังปรากฏต่อไปว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะเป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว โจทก์ไม่ยอม ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลและรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์แพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาที่จำเลยขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมฯนั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแต่บุตรของโจทก์ทั้ง 3 ยังไม่บรรลุนิติภาวะฉะนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมฯ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546ข้อพิพาทจึงไม่อาจระงับไปได้ คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
อนึ่งยังปรากฏต่อไปว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะเป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว โจทก์ไม่ยอม ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลและรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์แพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาที่จำเลยขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมฯนั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแต่บุตรของโจทก์ทั้ง 3 ยังไม่บรรลุนิติภาวะฉะนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมฯ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546ข้อพิพาทจึงไม่อาจระงับไปได้ คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำกฎหมายใหม่มาใช้ย้อนหลังกับฟ้องที่ไม่ถูกต้อง และอำนาจศาลในการพิจารณาคดีอาญา
โจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำร้ายเจ้าพนักงานและฆ่าคนตายโดยเจตนาฟ้องก่อน พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2496 ออกใช้บังคับ
ศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ยกฟ้องโดยเห็นว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง(ฟ้องว่าเหตุเกิดเวลากลางวัน ทางพิจารณาได้ความว่าเวลากลางคืน) ศาลทหารกลางเห็นว่าข้อต่อสู้และการนำสืบของจำเลยแสดงได้ชัดว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ซึ่งตาม พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2496 มาตรา 100 มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาพิพากษาใหม่
ดังนี้แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลทหารกลางแต่อย่างใดในชั้นนั้นเมื่อศาลมณฑลทหารบกที่ 7 พิจารณาใหม่แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยและศาลทหารกลางพิพากษายืนดังนี้ จำเลยจะคัดค้านขึ้นมาในชั้นฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องก็ได้เพราะปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเมื่อศาลทหารกลางพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาพิพากษาใหม่นั้น คดีก็ยังไม่ถึงที่สุดคู่ความหรือศาลย่อมยกขึ้นกล่าวอ้างได้
พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5)พ.ศ.2496 มาตรา 100นี้ ใช้บังคับแก่ฟ้องที่ไม่ถูกต้องซึ่งเกิดขึ้นภายหลังวันใช้บังคับเท่านั้นจะนำเอากฎหมายที่ออกใช้ภายหลังมาลงโทษจำเลยไม่ได้และกฎหมายใหม่ในกรณีเช่นนี้หาอาจไปแก้ไขฟ้องที่ไม่ถูกต้องให้เป็นการถูกต้องขึ้นได้ไม่
ศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ยกฟ้องโดยเห็นว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง(ฟ้องว่าเหตุเกิดเวลากลางวัน ทางพิจารณาได้ความว่าเวลากลางคืน) ศาลทหารกลางเห็นว่าข้อต่อสู้และการนำสืบของจำเลยแสดงได้ชัดว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ซึ่งตาม พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2496 มาตรา 100 มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาพิพากษาใหม่
ดังนี้แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลทหารกลางแต่อย่างใดในชั้นนั้นเมื่อศาลมณฑลทหารบกที่ 7 พิจารณาใหม่แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยและศาลทหารกลางพิพากษายืนดังนี้ จำเลยจะคัดค้านขึ้นมาในชั้นฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องก็ได้เพราะปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเมื่อศาลทหารกลางพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาพิพากษาใหม่นั้น คดีก็ยังไม่ถึงที่สุดคู่ความหรือศาลย่อมยกขึ้นกล่าวอ้างได้
พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5)พ.ศ.2496 มาตรา 100นี้ ใช้บังคับแก่ฟ้องที่ไม่ถูกต้องซึ่งเกิดขึ้นภายหลังวันใช้บังคับเท่านั้นจะนำเอากฎหมายที่ออกใช้ภายหลังมาลงโทษจำเลยไม่ได้และกฎหมายใหม่ในกรณีเช่นนี้หาอาจไปแก้ไขฟ้องที่ไม่ถูกต้องให้เป็นการถูกต้องขึ้นได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีแพ่งเมื่อจำเลยขาดนัดและสิทธิในการขอพิจารณาใหม่
จำเลยหลายคนขาดนัดยื่นคำให้การทุกคน แต่ถึงวันนัดพิจารณาจำเลยคนหนึ่งมาศาลศาลสืบพยานโจทก์ไป แต่แล้วต่อมาได้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่สืบพยานโจทก์นั้นเสียนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ถึงวันนัดจำเลยทุกคนไม่มาศาล ศาลจึงสืบพยานโจทก์และพิพากษาคดีไปกรณีเช่นนี้ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 204 จำเลยมีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาคดีนั้นใหม่ตามมาตรา 202,207 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบอกกล่าวของผู้ถูกทำร้าย/ตาย สามารถใช้ประกอบการพิจารณาคดีได้
คำร้องระบุบอกกล่าวของผู้ถูกทำร้ายโดยไม่ทันยั้งคิดก็ดี คำบอกกล่าวของผู้ตายโดยรู้ว่าชีวิตจะไม่รอดแต่สติยังดีอยู่ก็ดี ย่อมรับฟังประกอบการพิจารณาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาดำเนินการเมื่อคู่ความถึงแก่ความตายระหว่างพิจารณาคดี
จำเลยฎีกาเมื่อความเพิ่งปรากฏว่าโจทก์ตายก่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และไม่มีผู้ใดขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ ทั้งจำเลยก็ไม่ขอให้เรียกผู้ใดเข้ามาเป็นคู่ความแทนจนเวลาล่วงเลยเกิน 1 ปีแล้วดังนี้ กรณีมีพฤติการณ์พิเศษประกอบด้วยข้อเท็จจริง เพิ่งจะปรากฏขึ้น ณบัดนี้ ศาลฎีกามีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาเพื่อจำเลย จัดหาตัวผู้รับมรดกความโจทก์ได้ตามความในมาตรา 23
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการนำสืบพยานและผลกระทบต่อการพิจารณาคดี: การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องต้องทำก่อนพิพากษา
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยต่อสู้ว่าเป็นคนไทยครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์โต้แย้งแถลงว่า ประเด็นตกหน้าที่จำเลยนำสืบก่อนขอให้ศาลสั่งให้จำเลยนำพยานเข้าสืบก่อน โจทก์ไม่ยอมนำพยานเข้าสืบ และจะสืบต่อเมื่อจำเลยนำสืบพยานเรียบร้อยแล้ว และก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา โจทก์ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องศาลชั้นต้นสั่งเพียงว่า 'รวม' ดังนี้หาควรที่จะพิพากษาคดีเสียก่อนไม่ศาลควรสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเสียก่อน แล้วสั่งเรื่องหน้าที่นำสืบต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: ศาลลงโทษทันทีได้หากเป็นการหมิ่นประมาทในระหว่างพิจารณาคดี และไม่จำเป็นต้องสอบสวน
การหมิ่นประมาทศาลในเวลาพิจารณาคดีนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31,33 เท่านั้นก็ไม่จำต้องสอบสวนก่อน ศาลลงโทษไปได้ทันที ทีเดียวได้
กรณีละเมิดอำนาจศาล นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะฉะนั้นโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 จึงนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31,33ว่าด้วยละเมิดอำนาจศาลมาใช้บังคับได้
(เทียบฎีกา 256/2483 ในเรื่องฟ้องฎีกาข้อเท็จจริง)
กรณีละเมิดอำนาจศาล นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะฉะนั้นโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 จึงนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31,33ว่าด้วยละเมิดอำนาจศาลมาใช้บังคับได้
(เทียบฎีกา 256/2483 ในเรื่องฟ้องฎีกาข้อเท็จจริง)