พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,473 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: เจตนาสำคัญกว่าปริมาณ หากมีหลักฐานการจำหน่ายแล้วไม่ต้องอาศัยข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย
บทบัญญัติมาตรา 15 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มีความหมายว่าถ้าผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป กฎหมายให้สันนิษฐานโดยเด็ดขาดว่าเป็นการครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย แม้จำเลยจะมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 7 เม็ด และไม่ปรากฏว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เพียงใด แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็เป็นความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าข้อสันนิษฐานตามมาตรา 15 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2319/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดพยายามจำหน่ายยาเสพติดตามกฎหมายพิเศษ โจทก์ต้องขอท้ายฟ้อง
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 เป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติให้ผู้กระทำความผิดฐานพยายามต้องระวางโทษเท่ากับความผิดสำเร็จ บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นผลร้ายแก่จำเลย เพราะทำให้จำเลยต้องรับโทษสูงขึ้นกว่าการกระทำความผิดขั้นพยายามทั่ว ๆ ไป เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษหนักขึ้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2319/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดพยายามจำหน่ายยาเสพติดตามกฎหมายพิเศษ โจทก์ต้องขอท้ายฟ้องชัดเจน
พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดโทษให้ผู้กระทำความผิดฐานพยายามต้องระวางโทษเท่ากับความผิดสำเร็จบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นผลร้ายแก่จำเลย เพราะทำให้จำเลยต้องรับโทษสูงขึ้นกว่าการกระทำความผิดขั้นพยายามทั่ว ๆ ไป ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตรา 7ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ จึงนำมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อยาเสพติดให้สามีและผู้อื่นเข้าข่าย 'จำหน่าย' แม้ไม่ใช่การขายโดยตรง
การมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเป็นความผิดทางอาญามีผลเฉพาะตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาที่พอจะถือว่าสามีภริยาเป็นบุคคลเดียวกันเป็นความสัมพันธ์เฉพาะในทางแพ่งเท่านั้น
จำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อให้สามีเสพหรือเพื่อแบ่งให้ผู้อื่นถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อจ่าย แจก หรือให้แก่บุคคลอื่น ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 เป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อให้สามีเสพหรือเพื่อแบ่งให้ผู้อื่นถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อจ่าย แจก หรือให้แก่บุคคลอื่น ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 เป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: การซื้อเพื่อเสพเองกับซื้อเพื่อแบ่งให้ผู้อื่น
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4บัญญัติว่า "จำหน่าย" หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนให้ การมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเป็นความผิดทางอาญามีผลเฉพาะตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาที่พอจะถือว่าสามีภริยาเป็นบุคคลเดียวกันเป็นความสัมพันธ์เฉพาะในทางแพ่งเท่านั้น หากจำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อเสพเองแล้วย่อมเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง แต่การที่จำเลยซื้อกัญชาไว้เพื่อให้สามีเสพหรือเพื่อแบ่งให้ผู้อื่นย่อมถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อจ่าย แจก หรือให้แก่บุคคลอื่นจึงเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดกรรมเดียวครอบครองยาเสพติดหลายชนิด และข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ระบุว่า เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ดังนั้นการที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกันจึงเป็นความผิดต่อกฎหมายและมีโทษบทมาตราเดียวกันตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 7 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิดแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ลงโทษจำคุก 9 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ระบุว่า เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ดังนั้นการที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกันจึงเป็นความผิดต่อกฎหมายและมีโทษบทมาตราเดียวกันตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 7 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิดแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ลงโทษจำคุก 9 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2227/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2136/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อสันนิษฐานการครอบครองยาเสพติดเกิน 20 กรัม ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย และการวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด จำเลยทั้งสองไม่อาจกล่าวอ้างหรือนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีน ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นความผิดตามฟ้อง
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้แย้งว่า พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 33 นั้น ศาลฎีกาส่งข้อโต้แย้งดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 33
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้แย้งว่า พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 33 นั้น ศาลฎีกาส่งข้อโต้แย้งดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติดเป็นกรรมต่างกัน แม้เหตุการณ์ต่อเนื่อง
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 4 ให้นิยามคำว่า "ขาย" หมายความรวมถึงจำหน่าย และมีไว้เพื่อขายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายจำนวนหนึ่ง และขายไปจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีนจำนวนเดียวกันตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันและเป็นความผิดกรรมเดียว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิใช่ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518และนิยามคำว่า "ขาย" ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่อาจนำมาใช้กับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้โดยมีนิยามคำว่า "จำหน่าย" ไว้โดยเฉพาะในมาตรา 4 แล้วว่า ขาย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ให้ มิได้มีความหมายรวมถึงการมีไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย ทั้งความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 เป็นความผิดที่แยกเจตนาจากกันได้การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย17 เม็ด เป็นความผิดกรรมหนึ่ง เมื่อจำหน่ายไป 2 เม็ดย่อมมีความผิดฐานจำหน่ายอีกกรรมหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิใช่ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518และนิยามคำว่า "ขาย" ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่อาจนำมาใช้กับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้โดยมีนิยามคำว่า "จำหน่าย" ไว้โดยเฉพาะในมาตรา 4 แล้วว่า ขาย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ให้ มิได้มีความหมายรวมถึงการมีไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย ทั้งความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 เป็นความผิดที่แยกเจตนาจากกันได้การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย17 เม็ด เป็นความผิดกรรมหนึ่ง เมื่อจำหน่ายไป 2 เม็ดย่อมมีความผิดฐานจำหน่ายอีกกรรมหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานที่ให้การจากการถูกเกลี้ยกล่อมและสัญญาว่าจะไม่ดำเนินคดี ไม่น่าเชื่อถือ และหลักฐานโจทก์อ่อนแอ
ส. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจาก ส. แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจเสนอว่าหาก ส. ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้จำหน่ายให้ก็จะไม่ดำเนินคดี ส. จึงไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย การที่ ส. มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ จึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจและให้คำมั่นสัญญาโดยมิชอบของ เจ้าพนักงานตำรวจ รับฟังเป็นพยานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226