พบผลลัพธ์ทั้งหมด 343 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีรายละเอียดชัดเจน หากไม่ชัดเจนถือว่าหนี้ยังไม่ระงับ
แม้จะมีข้อความในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่ร้อยตำรวจโท ม. บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับรถของ น. รถของ ค. และรถของ ส. ทุกประการ ในส่วนของความเสียหายจะไปตรวจสอบอีกครั้งและคู่กรณีแจ้งว่าจะไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายกันเอง แต่ข้อความดังกล่าวก็ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดว่าเป็นผู้ก่อใหเกิดความเสียหายและตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้องชำระ วิธีการชำระ ตลอดจนกำหนดเวลาชำระที่แน่นอนอันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก นอกจากนี้บันทึกข้อตกลงดังกล่าวหาได้มีข้อความโดยชัดแจ้งว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาทโดยยอมสละข้อเรียกร้องอื่นทั้งสิ้นแต่อย่างใด ดังนี้ ข้อความในเอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้หนี้ในมูลละเมิดระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ถึง 852
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13612/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การที่ดูเผินเป็นรับสารภาพ แต่มีรายละเอียดหักล้างเจตนาความผิด ศาลต้องพิจารณาเนื้อหาทั้งหมด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำให้การต่อศาล โดยคำให้การข้อ 1 ระบุว่า "จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธฟ้อง โดยขอให้การใหม่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง เพื่อประโยชน์และสะดวกในการพิจารณาของศาล" และข้อ 4 จำเลยให้รายละเอียดว่านาย ก. นำห่อกระดาษมาฝากจำเลยใส่กระเป๋ากางเกงของจำเลยไว้ โดยจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน ซึ่งหากเป็นความจริงดังที่ให้การก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด แม้ข้อ 5 จะขอให้ศาลกำหนดโทษน้อยหรือขอให้รอการลงอาญาแก่จำเลย ก็ไม่ทำให้เห็นไปได้ว่าคำให้การดังกล่าวเป็นคำให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อต่อสู้เลย เมื่อจำเลยให้การโดยระบุรายละเอียดต่างๆ ไว้ ก็ต้องนำรายละเอียดต่างๆ มาพิจารณาประกอบด้วย จะพิจารณาเฉพาะข้อความที่ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ และเมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยยังคงให้การตามคำให้การที่ยื่นไว้ดังกล่าว คำให้การของจำเลยจึงเป็นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ มิใช่คำให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องดังที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้น เมื่อโจทก์แถลงไม่สืบพยาน จึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5275/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การปฏิเสธหนี้โดยอ้างเอกสารปลอม ต้องระบุรายละเอียดการปลอมชัดเจน หากไม่ชัดเจนถือเป็นคำให้การที่ไม่ชอบ
แม้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจะอ้างเรื่องเอกสารปลอมขึ้นเป็นเหตุแห่งการปฏิเสธ แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าเป็นการปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือในส่วนหนึ่งส่วนใด หรือเป็นการปลอมโดยการกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้จำเลยทั้งสองอ้างว่าเอกสารเกิดขึ้นเพราะกลฉ้อฉลของโจทก์กับพวก โดยจำเลยทั้งสองมิได้รู้เห็นยินยอมให้กระทำได้ นิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะ ก็เป็นการให้การทำนองยอมรับว่าจำเลยทั้งสองเข้าทำนิติกรรมกับโจทก์จริง แต่ทำไปเพราะถูกโจทก์ทำกลฉ้อฉลซึ่งเป็นคนละกรณีกับการกล่าวอ้างว่าเอกสารเป็นเอกสารปลอม คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 172 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยทั้งสองจะนำพยานเข้าสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4444/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องอาญาในคดีชุลมุนต่อสู้ การบรรยายรายละเอียดผู้ร่วมเหตุการณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งมีอาวุธมีดปลายแหลมติดตัวไปกับ ฉ. ผู้ตายฝ่ายหนึ่งกับ ส. อีกฝ่ายหนึ่ง สมัครใจเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป โดยในการชุลมุนต่อสู้ดังกล่าว ฉ. ถูกอาวุธมีดที่จำเลยนำติดตัวไปแทงถึงแก่ความตาย ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนในการชุลมุนต่อสู้กันจะมีผู้ร่วมชุลมุนกันอีกหลายคน และผู้ร่วมชุลมุนกลุ่มใดเป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำพยานมาสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3034/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ที่ไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดงานและเจ้าของลิขสิทธิ์ ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา
โจทก์บรรยายฟ้องมีสาระสำคัญเพียงว่าเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2547 เวลากลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสามร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ในงานแพร่เสียงแพร่ภาพของผู้เสียหายทั้งห้า ด้วยการส่งหรือรับภาพด้วยคลื่นความถี่ ด้วยวิธีการแพร่กระจายไปในตัวนำไฟฟ้า ในงานอันเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งห้าเหตุเกิดที่ ต.หายยา อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงมีความชัดแจ้งเพียงเฉพาะข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ แต่เมื่อมิได้บรรยายให้ชัดเจนว่า งานแพร่เสียงแพร่ภาพอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายแต่ละรายที่ถูกละเมิดในช่วงเวลาและสถานที่ดังกล่าวคือรายการใดบ้าง และรายการใดเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายรายใด มีรายละเอียดของลักษณะงานพอสังเขปเช่นใด จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่อาจทำให้จำเลยทั้งสามเข้าใจและต่อสู้ถึงการมีลิขสิทธิ์ในรายการแต่ละรายการและความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายแต่ละราย รวมทั้งลักษณะการกระทำอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ต่องานแพร่เสียงแพร่ภาพส่วนที่มีลิขสิทธิ์ได้ ถือไม่ได้ว่าฟ้องของโจทก์บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิด และข้อเท็จจริงอีกทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3033/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องต้องระบุรายละเอียดหนี้ให้ชัดเจน หากระบุไม่ชัดเจนถือว่าไม่มีอำนาจฟ้อง
ป.พ.พ. มาตรา 306 ได้บัญญัติถึงวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องไว้ว่า การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ ซึ่งโจทก์มีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเอกสารหมาย จ.7 เป็นหลักฐานที่อ้างว่าธนาคาร ด. ได้โอนสิทธิเรียกร้องที่ธนาคาร ด. มีต่อจำเลยให้แก่โจทก์แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเอกสารหมาย จ.7 มีข้อความระบุถึงหนี้ที่มีการโอนสิทธิเรียกร้องกันไว้แต่เพียงว่า "รายละเอียดของสัญญาสินเชื่อและสัญญาหลักประกันที่ธนาคารได้โอนให้ผู้รับโอน รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะสัญญาและเอกสารดังกล่าวต่อไปนี้" ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่อาจเข้าใจความหมายได้ว่าหมายถึงหนี้สินเชื่อประเภทใดบ้าง เพียงแต่มีข้อความต่อไปว่า "หนังสือสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม 2537" มิได้มีข้อความใดกล่าวถึงหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทตามที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่อาจแปลความหมายได้ว่า ข้อความดังกล่าวรวมถึงหนี้ตามฟ้องด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องคดีเช็ค: ไม่ต้องบรรยายรายละเอียดหนี้ซื้อขาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2540 เวลากลางวัน จำเลยออกเช็คธนาคาร ก. สาขาสี่มุมเมือง-รังสิต ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2540 สั่งจ่ายเงินจำนวน 152,479.53 บาท มอบให้แก่บริษัท ห. ผู้เสียหาย เพื่อชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ดังนั้น ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยครบถ้วนเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่ามูลหนี้ซื้อขายระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยได้มีหลักฐานการซื้อขายต่อกัน หรือผู้เสียหายได้ส่งสินค้าทุกรายการให้ครบถ้วนแล้ว และโจทก์ก็ไม่จำต้องแนบหลักฐานการซื้อขายมาพร้อมกับฟ้องดังที่จำเลยฎีกา เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10332/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุเลิกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ แม้รายละเอียดวันที่ผิดพลาด ก็ใช้เป็นเหตุไม่จ่ายค่าชดเชยได้
แม้หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง ระบุเหตุผลที่เลิกจ้างไว้ประการหนึ่งว่าโจทก์ไม่ได้มาทำงานในวันที่ 22 และ 26 มีนาคม 2547 แต่ได้ลงบันทึกข้อมูลของบริษัทจำเลยว่าโจทก์มาทำงานในวันดังกล่าว ทำให้จำเลยต้องจ่ายค่าอาหารให้โจทก์วันละ 10 บาท รวม 2 วัน เป็นเงิน 20 บาท อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ในวันที่ 22 และ 26 มีนาคม 2547 ซึ่งไม่ตรงกับที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มาทำงานในวันที่ 24 มีนาคม 2547 แต่โจทก์แก้ไขข้อมูลว่ามาทำงานในวันดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์เป็นเบี้ยขยันเดือนละ 300 บาท และค่าอาหาร วันละ 10 บาท อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ในวันที่ 24 มีนาคม 2547 ซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่คนละวันกัน แต่ก็เป็นการระบุเรื่องโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่เป็นเหตุผลให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างแล้ว เพียงแต่ระบุวันที่โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ผิดพลาดไปซึ่งเป็นรายละเอียดเท่านั้น จำเลยย่อมยกเหตุผลที่โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ขึ้นต่อสู้เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3238/2563
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องอาญา: รายละเอียดประกาศผู้อำนวยการทางหลวงไม่เป็นสาระสำคัญ
ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้จำเลยมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ แม้ว่าจะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, 225 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 ศาลฎีกาจึงต้องรับวินิจฉัย
ป.วิ.อ. มาตรา 158 บัญญัติแต่เพียงว่าคำฟ้องต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมทางหลวงหรือไม่ มิใช่สาระสำคัญแห่งการกระทำผิดของจำเลย จึงเป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา นอกจากนี้โจทก์ยังบรรยายฟ้องว่า "อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 อธิบดีกรมทางหลวงในฐานะผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทานได้ออกประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทาน เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหาย เดินบนทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงสัมปทาน (ฉบับที่ 2) ..." อันมีความหมายอยู่ในตัวว่า ประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงข้างต้นได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งเป็นผู้ออกประกาศฉบับดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงมีรายละเอียดครบถ้วนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ทุกประการและเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ป.วิ.อ. มาตรา 158 บัญญัติแต่เพียงว่าคำฟ้องต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมทางหลวงหรือไม่ มิใช่สาระสำคัญแห่งการกระทำผิดของจำเลย จึงเป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา นอกจากนี้โจทก์ยังบรรยายฟ้องว่า "อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 อธิบดีกรมทางหลวงในฐานะผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทานได้ออกประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทาน เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหาย เดินบนทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงสัมปทาน (ฉบับที่ 2) ..." อันมีความหมายอยู่ในตัวว่า ประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงข้างต้นได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งเป็นผู้ออกประกาศฉบับดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงมีรายละเอียดครบถ้วนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ทุกประการและเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2208-2209/2563
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยต้องพิสูจน์การชำระหนี้เพื่อหลุดพ้นจากความรับผิดตามเช็ค แม้มีการอ้างชำระหนี้เกิน แต่ต้องระบุรายละเอียดชัดเจน
คดีนี้จำเลยทั้งสามให้การโดยชัดแจ้งยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งและร่วมกันสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับ โดยมีจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาททั้งสองฉบับส่งมอบแก่โจทก์ แต่ปฏิเสธว่า มีการชำระหนี้การกู้ยืมเงินครั้งก่อน ๆ ไว้เกิน ซึ่งจะต้องนำมาหักกลบลบหนี้ตามเช็คพิพาทในคดีนี้ จำเลยทั้งสามย่อมมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติเพื่อให้จำเลยทั้งสามหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามฟ้อง แต่พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามไม่มีน้ำหนักรับฟังให้เป็นยุติสมแก่ภาระการพิสูจน์ตามคำให้การอันจะทำให้จำเลยทั้งสามหลุดพ้นจากความรับผิด ส่วนประเด็นเรื่องดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น ในประเด็นนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คสองฉบับรวมยอดต้นเงิน 9,000,000 บาท จำเลยทั้งสามอ้างว่าชำระหนี้แล้วโดยการหักกลบ ภาระการพิสูจน์ในปัญหาข้อนี้จึงตกแก่จำเลยทั้งสาม แต่จำเลยทั้งสามนำสืบเพียงรวม ๆ ว่ามีการชำระหนี้โจทก์ไว้เกินจำนวนหนี้ แต่ไม่ชัดว่าเป็นการชำระหนี้ตามเช็คฉบับใด จำนวนเท่าใด จึงยังฟังไม่ได้ตามที่จำเลยทั้งสามอ้าง