พบผลลัพธ์ทั้งหมด 858 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5748/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายฝากสินสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมของคู่สมรส และผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่สุจริต
ทรัพย์สินซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มาโดยการยกให้โดยเสน่หาก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 ใช้บังคับ และเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1กับโจทก์นั้น หากต่อมาเมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับแล้ว จำเลยที่ 1ได้นำเอาสินสมรสนั้นไปขายฝากแก่จำเลยที่ 2 โดยมิได้รับความยินยอมของโจทก์ผู้เป็นสามี และโจทก์ก็มิได้ให้สัตยาบัน ในเรื่องอำนาจของโจทก์ที่จะขอเพิกถอนนิติกรรมขายฝากนั้น ไม่พิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37 และมาตรา 137 วรรคสองซึ่งยกเลิกไปแล้ว แต่ต้องนำบทบัญญัติมาตรา 1480 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มาปรับ โดยต้องพิจารณาว่าในขณะทำนิติกรรมขายฝากจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกกระทำการโดยสุจริตหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5747/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหย่าจากพฤติการณ์จงใจทิ้งร้าง และการแบ่งสินสมรสที่ดินที่ถูกจำนองขายฝาก
จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์ทำให้จำเลยถูกบัตรสนเท่ห์ จึงทำร้ายโจทก์จนกระดูกซี่โครงร้าว แล้วออกจากบ้านไปอยู่กับภริยาเก่าโดยไม่กลับมาอยู่กับโจทก์อีกเลย แม้ปรากฏว่าจำเลยเคยช่วยออกค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าโทรศัพท์ในบ้านโจทก์โดยฝากบุตรไปให้แต่เมื่อพบกันก็ไม่พูดกัน ดังนี้ถือว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เมื่อเป็นระยะเวลาเกินหนึ่งปี ก็เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4)
ที่ดินที่โจทก์ได้มาระหว่างสมรสโดยมารดายกให้โดยเสน่หาและให้ถือกรรมสิทธิ์รวมกับพี่อีก 3 คน ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 ใช้บังคับ เมื่อการยกให้มิได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัว ที่ดินส่วนของโจทก์จึงตกเป็นสินสมรส แม้ต่อมาได้มีการแบ่งแยกโฉนดออกไปเป็นส่วนของโจทก์เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 ใช้บังคับแล้วก็เป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ไม่ทำให้ที่ดินส่วนของโจทก์หลังแบ่งแยกโฉนดแล้วเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471(3) ที่ได้ตรวจชำระใหม่
ที่ดินที่โจทก์ได้มาระหว่างสมรสโดยมารดายกให้โดยเสน่หาและให้ถือกรรมสิทธิ์รวมกับพี่อีก 3 คน ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 ใช้บังคับ เมื่อการยกให้มิได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัว ที่ดินส่วนของโจทก์จึงตกเป็นสินสมรส แม้ต่อมาได้มีการแบ่งแยกโฉนดออกไปเป็นส่วนของโจทก์เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 ใช้บังคับแล้วก็เป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ไม่ทำให้ที่ดินส่วนของโจทก์หลังแบ่งแยกโฉนดแล้วเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471(3) ที่ได้ตรวจชำระใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5747/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหย่าจากพฤติการณ์จงใจละทิ้งร้างและการแบ่งสินสมรสที่ดินที่ได้รับจากการยกให้
จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์ทำให้จำเลยถูกบัตรสนเท่ห์ จึงทำร้ายโจทก์จนกระดูกซี่โครงร้าว แล้วออกจากบ้านไปอยู่กับภริยาเก่าโดยไม่กลับมาอยู่กับโจทก์อีกเลยแม้ปรากฏว่าจำเลยเคยช่วยออกค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าโทรศัพท์ในบ้านโจทก์โดยฝากบุตรไปให้ แต่เมื่อพบกันก็ไม่พูดกัน ดังนี้ ถือว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ เมื่อเป็นระยะเวลาเกินหนึ่งปี ก็เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4) ที่ดินที่โจทก์ได้มาระหว่างสมรสโดยมารดายกให้โดยเสน่หาและให้ถือกรรมสิทธิ์รวมกับพี่อีก 3 คน ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับ เมื่อการยกให้มิได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัว ที่ดินส่วนของโจทก์จึงตกเป็นสินสมรส แม้ต่อมาได้มีการแบ่งแยกโฉนดออกไปเป็นส่วนของโจทก์เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 ใช้บังคับแล้ว ก็เป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมไม่ทำให้ที่ดินส่วนของโจทก์หลังแบ่งแยกโฉนดแล้วเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1471(3) ที่ได้ตรวจชำระใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินเดิมแปลงเป็นสินสมรส: การซื้อที่ดินด้วยเงินจากการขายสินเดิม และการสร้างสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้น
ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะแต่งงานกับ ส.บิดามารดาของจำเลยที่ 1 ได้ยกบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์ให้จำเลยที่ 1 หนึ่งแปลง บ้านและที่ดินนั้นจึงเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 เมื่อแต่งงานกันแล้วได้มาอยู่กินที่บ้านหลังนี้จนมีบุตร 3 คน ก็ขายบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือและปลูกบ้านอยู่ ต่อมาได้ขายที่ดินและบ้านที่ถนนสาธรเหนือนำเงินส่วนหนึ่งไปรับซื้อฝากที่ดินแปลงพิพาท และผู้ขายฝากไม่ไถ่คืนจึงตกเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการได้มาโดยขายสินเดิมไปและนำเงินที่ขายได้มาซื้อที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องเอามาแทนสินเดิมที่ขายไป แม้ก่อนจะนำเงินมารับซื้อฝากที่พิพาท จำเลยที่ 1 ได้นำเงินทีได้จากการขายสินเดิมไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือไว้ชั้นหนึ่งก่อน ก็ไม่ทำให้ผลในทางกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป เพราะที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือก็ถือว่าเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 นั้นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465 ก่อนทำการแก้ไข แต่อาคารโรงเรียนและตึกแถวจำเลยที่ 1 ออกเงินสร้างขึ้นบนที่ดินพิพาทหลังจากที่ดินดังกล่าวตกเป็นของจำเลยที่ 1 แล้ว และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้เงินทีได้จากการขายที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือมาทำการก่อสร้างจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนกทรัพย์สินระหว่างสินเดิม สินสมรส และการช่วงทรัพย์ในการแบ่งสินสมรส
ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะแต่งงานกับ ส. บิดามารดาของจำเลยที่ 1ได้ยกบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์ให้จำเลยที่ 1 หนึ่งแปลง บ้านและที่ดินนั้น จึงเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 เมื่อแต่งงานกันแล้วได้มาอยู่กินที่บ้านหลังนี้จนมีบุตร 3 คน ก็ขายบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือและปลูกบ้านอยู่ ต่อมาได้ขายที่ดินและบ้านที่ถนนสาธรเหนือนำเงินส่วนหนึ่งไปรับซื้อฝากที่ดินแปลงพิพาท และผู้ขายฝากไม่ไถ่คืนจึงตกเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการได้มาโดยขายสินเดิมไป และนำเงินที่ขายได้มาซื้อ ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องเอามาแทนสินเดิมที่ขายไป แม้ก่อนจะนำเงินมารับซื้อฝากที่พิพาทจำเลยที่ 1 ได้นำเงินที่ได้จากการขายสินเดิมไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือไว้ชั้นหนึ่งก่อนก็ไม่ทำให้ผลในทางกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป เพราะที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือก็ถือว่าเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 นั่นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465 ก่อนทำการแก้ไข แต่อาคารโรงเรียนและตึกแถวจำเลยที่ 1 ออกเงินสร้างขึ้นบนที่ดินพิพาทหลังจากที่ที่ดินดังกล่าวตกเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วและไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้เงินที่ได้จากการขายที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือมาทำการก่อสร้าง จึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีสินสมรส, อายุความค่าเสียหายจากการละเมิด, การครอบครองที่ดินพิพาท
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดมีอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิด โจทก์เห็นบ้านจำเลยปลูกในที่พิพาทเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2525 มาฟ้องคดีเมื่อวันที่ 21กันยายน 2526 ค่าเสียหายของโจทก์ก่อนวันที่ 21 กันยายน 2525 ย่อมขาดอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
การฟ้องคดีเกี่ยวด้วยสินสมรส เมื่อโจทก์ได้รับความยินยอมจากสามีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476,1477 แล้ว ก็มีอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2525 จำเลยทั้งสามบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายปีละ 5,000 บาท กับค่าใช้จ่ายแก่พนักงานรังวัดอีก 600 บาท ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดงชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.(ที่มา-ส่งเสริม)
การฟ้องคดีเกี่ยวด้วยสินสมรส เมื่อโจทก์ได้รับความยินยอมจากสามีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476,1477 แล้ว ก็มีอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2525 จำเลยทั้งสามบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายปีละ 5,000 บาท กับค่าใช้จ่ายแก่พนักงานรังวัดอีก 600 บาท ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดงชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสและทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม โดยพิจารณาจากสิทธิของคู่สมรสและผู้รับมรดก
เจ้ามรดกกับจำเลยได้อยู่กินเป็นสามีภริยากันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จึงต้องแบ่งสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย คือสามีได้ 2 ส่วน ภริยาได้ 1 ส่วนเจ้ามรดกจึงมีสิทธิในทรัพย์สิน 2 ส่วนใน 3 ส่วน จำเลยซึ่งเป็นภริยาเจ้ามรดกได้เพียง 1 ใน 3 ส่วน แต่เมื่อเจ้ามรดกได้ระบุในพินัยกรรมให้แบ่งสินสมรสออกเป็น 2 ส่วน โดยให้ตกแก่จำเลย1 ส่วน อีก 1 ส่วนเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วน ดังนี้จึงต้องแบ่งทรัพย์สินร่วมกันของเจ้ามรดกกับจำเลยออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งตกแก่จำเลย อีกส่วนหนึ่งให้ตกเป็นของโจทก์ทั้งสองคนละส่วนเท่ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3033/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีกับทรัพย์สินสมรส: ยึดทรัพย์สินได้แม้ชื่อไม่ตรง หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นสินสมรส
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและตึกแถวอ้างว่าเป็นของจำเลย แต่ปรากฏว่าโฉนดที่ดินมีชื่อ พ.และอ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์แถลงยืนยันว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฐานเป็นสินสมรส ทรัพย์สินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 282 วรรคท้าย และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดโดยชอบแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2910/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายสินสมรสระงับด้วยสัญญาประนีประนอม การจัดการสินสมรสต้องผูกพันสินสมรสโดยตรง
ส. ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและบ้านอันเป็นสินสมรสของโจทก์และ ส. ให้กับจำเลยแล้วผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องเรียกเบี้ยปรับและมัดจำคืน ส. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลยอมชำระเบี้ยปรับและคืนเงินมัดจำให้จำเลย ดังนี้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและบ้านได้ระงับไปแล้วด้วยผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852โจทก์ซึ่งเป็นสามี จะฟ้องขอให้เพิกถอนมิได้ ส่วนสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นนิติกรรมเกี่ยวกับหนี้เงิน มิได้ทำขึ้นเพื่อผูกพันสินสมรสโดยเฉพาะ จึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476, 1477 และ 1480 โจทก์ซึ่งเป็นสามีจะฟ้องขอให้เพิกถอนมิได้เช่นเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2910/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสัญญาซื้อขายสินสมรสด้วยสัญญาประนีประนอม และขอบเขตการจัดการสินสมรส
ส. ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและบ้านอันเป็นสินสมรสของโจทก์กับ ส. ให้แก่จำเลย แล้วผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องเรียกเบี้ยปรับและมัดจำคืน ส. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ยอมชำระเบี้ยปรับและคืนเงินมัดจำให้จำเลย ดังนี้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและบ้านได้ระงับไปแล้วด้วยผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์ซึ่งเป็นสามีจะฟ้องขอให้เพิกถอนมิได้ ส่วนสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นนิติกรรมเกี่ยวกับหนี้เงิน มิได้ทำขึ้นเพื่อผูกพันสินสมรสโดยเฉพาะจึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1476,1477 และ 1480 โจทก์ซึ่งเป็นสามีจะฟ้องขอให้เพิกถอนมิได้เช่นเดียวกัน