พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าแผงลอย - ผู้มีสิทธิขายของย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ แม้ไม่ใช่เจ้าของ
โจทก์เป็นผู้เช่าแผงลอยแล้วให้น้องสาวและมารดาโจทก์เข้านั่งขายของ น้องสาวโจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่ ได้ให้จำเลยเข้าขายของที่แผงลอยนั้นโดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง และไม่ปรากฏว่าจำเลยขอเช่าจากผู้มีสิทธิให้เช่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ แม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของแผงลอย และคนเก็บค่าเช่าจะเก็บค่าเช่าจากจำเลยก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีขับไล่: ศาลฎีกาถือตามคำให้การจำเลยเรื่องค่าเช่าต่ำกว่าเกณฑ์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดิน จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าที่พิพาทอาจจะให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่ปรากฏจากคำให้การของจำเลยว่า จำเลยอยู่ในที่พิพาทในฐานะเป็นผู้เช่า เสียค่าเช่าในอัตราเดือนละ 50 บาท ไม่มีการโต้แย้งเป็นอย่างอื่น และจำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ฎีกา ก็ชอบที่จะถือตามที่จำเลยกล่าวอ้างในคำให้การว่าอัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท ดังนั้น คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1164/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละการครอบครองที่ดินและเรือนพิพาท แม้สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกาพิพากษาให้ขับไล่ได้
ผู้ครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมีแต่เพียงสิทธิครอบครองหามีกรรมสิทธิ์ไม่ เรือนพิพาทบนที่ดินรายนี้ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินมือเปล่านั้น เมื่อจำเลยสละการครอบครองที่ดินและเรือนพิพาทให้โจทก์ โดยการขายให้โจทก์แล้วทำสัญญาเช่าจากโจทก์อีกต่อไปเช่นนี้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 เห็นได้ว่าจำเลยเจตนาสละการครอบครองให้โจทก์โดยการส่งมอบทรัพย์ให้แล้ว แม้การซื้อขายไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเป็นโมฆะก็ตาม เมื่อจำเลยสละและโอนการครอบครองให้โจทก์แล้ว การครอบครองของจำเลยก็หมดสิ้นไปเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิอยู่ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของกฎหมายที่สิ้นผลบังคับกับคดีระหว่างพิจารณา: ศาลฎีกาไม่สามารถใช้เหตุสิ้นสุดกฎหมายระหว่างพิจารณาเพื่อพิพากษาขับไล่ได้
ขณะฟ้องจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ในระหว่างศาลฎีกาทำการพิจารณาคดีนี้ปรากฏว่า พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ. 2504 มาตรา 21 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2511 มาตรา 3กำหนดให้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 เฉพาะมาตรา 11 และ 17 ใช้บังคับได้เพียง 8 ปี นับแต่พระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ใช้บังคับ (ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2504) มาตรา 11 และ17 ดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับหรือเลิกใช้บังคับแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวต่อไปดังนี้ ศาลฎีกาจะยกเอาความสิ้นสุดของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ ดังกล่าว ในระหว่างพิจารณามาเป็นเหตุพิพากษาขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะเหตุที่ศาลจะยกขึ้นพิพากษาขับไล่จำเลยได้ จะต้องเป็นเหตุที่มีอยู่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะฟ้อง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2513)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าหมดอายุ ผู้เช่ายังอยู่ต่อ ผู้ให้เช่ามีสิทธิฟ้องขับไล่ได้ทันที โดยไม่ต้องบอกเลิกสัญญา
สัญญาเช่าตึกมีกำหนดเวลาเช่าแน่นอนในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3 เหรียญอเมริกัน แต่มีสัญญาข้อหนึ่งระบุว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้ว ถ้าผู้เช่ายังขืนอยู่ต่อไปอีก ผู้เช่ายอมเสียค่าเช่าเดือนละ 20 เหรียญอเมริกัน เว้นแต่จะได้ทำสัญญาทำใหม่ สัญญาข้อนี้แสดงเจตนาของคู่สัญญาว่า ถ้าผู้เช่ายังขืนอยู่ต่อไป เป็นการอยู่โดยผู้ให้เช่าไม่ยินยอม ผู้เช่าจะต้องเสียค่าเช่ามากกว่าค่าเช่าปกติที่ตกลงไว้ ค่าเช่านี้ถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับหรือค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้า หาใช่เงื่อนไขการเช่าที่มีผลให้ผู้เช่าได้เช่าตึกต่อไปหลังจากครบกำหนดตามสัญญาแล้ว โดยไม่มีกำหนดเวลาไม่
หลังจากครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาได้ 8 วัน ผู้ให้เช่าก็ยื่นฟ้องขอให้ขับไล่ผู้เช่า ถือว่าผู้ให้เช่าทักท้วงไม่ยอมให้เช่าต่อไป ผู้ให้เช่าจึงมีอำนาจฟ้องได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าอีก
หลังจากครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาได้ 8 วัน ผู้ให้เช่าก็ยื่นฟ้องขอให้ขับไล่ผู้เช่า ถือว่าผู้ให้เช่าทักท้วงไม่ยอมให้เช่าต่อไป ผู้ให้เช่าจึงมีอำนาจฟ้องได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาขายฝากจริงและภาระหน้าที่การส่งมอบทรัพย์ ผู้รับซื้อฝากมีสิทธิขับไล่ผู้ขายฝากออกจากทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายฝากทรัพย์ให้กับโจทก์ แล้วต่อมาจำเลยยังไม่ออกไปจากทรัพย์นั้น ขอให้ขับไล่ จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาขายฝากจริงแต่เป็นการทำลวงไว้เท่านั้น เมื่อมีคำรับของจำเลยว่ามีการขายฝากกันจริงและมีข้ออ้างของจำเลยโดยเฉพาะขึ้นใหม่ว่าสมคบกันทำไว้ลวงคนอื่นดังนี้ จำเลยต้องนำสืบก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและสิทธิของผู้เช่าช่วง: การฟ้องขับไล่เมื่อไม่ทำสัญญาเช่าช่วง
จำเลยกับพวกประมูลสิทธิขายเนื้อสุกรโดยเสียค่าตอบแทนหรือค่าบำรุงให้เทศบาล 368,000 บาท กับค่าเช่าเป็นรายวันจำเลยเข้าขายเนื้อสุกรที่เขียงตามที่ประมูลได้ แต่ยังไม่ได้ทำสัญญาเช่าจากเทศบาล จำเลยกับพวกยังผูกพันจะต้องชำระเงิน 368,000 บาท จึงจะมีสิทธิ ต่อมามีการตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดยจำเลยกับพวกเป็นผู้ถือหุ้นและมี ต.เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง บริษัทโจทก์ทำสัญญาเช่าเขียงหรือแผงจากเทศบาลโดยเสียเงินบำรุงให้แก่เทศบาล 368,000 บาทตามที่จำเลยกับพวกประมูลไว้ จำเลยกับพวกมิได้คัดค้าน ดังนี้ บริษัทโจทก์เป็นนิติบุคคลซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งต่างหากจากจำเลยและพวก เป็นคู่สัญญากับเทศบาล จำเลยยอมให้บริษัทโจทก์เป็นผู้เช่าแล้ว บริษัทโจทก์จึงมีสิทธิที่จะใช้เขียงจำหน่ายเนื้อสุกรได้อย่างฐานะผู้เช่าทั่วไป เมื่อบริษัทโจทก์ให้จำเลยมาทำสัญญาเช่าจากบริษัทโจทก์ เพื่อจำเลยจะได้ใช้เขียงจำหน่ายต่อไป ก็ชอบที่จะต้องทำสัญญาเช่าจากบริษัทโจทก์ การที่จำเลยไม่ยอมมาทำสัญญาเช่า บริษัทโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้ ข้อโต้เถียงของจำเลยเกี่ยวกับ ต. ผู้ถือหุ้นของบริษัทว่าทำการไม่ชอบอันเป็นกิจการภายในของบริษัทโจทก์นั้น เป็นกรณีที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่บริษัทโจทก์เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 687/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เทศบาลมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกทางสาธารณะ แม้ทางสาธารณะนั้นมิได้ขึ้นทะเบียน หรือได้รับมอบหมายจากกรมทางหลวง
โจทก์เป็นเทศบาลเมือง ซึ่งตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496มาตรา 50(2),53 บัญญัติให้มีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงทางบกทางน้ำย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกทางสาธารณะในเขตเทศบาลของตนได้
ทางสาธารณะในเขตเทศบาลซึ่งโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกนั้น โจทก์จะได้รับมอบหมายจากกรมทางหลวงหรือไม่และจะได้ขึ้นทะเบียนตามคำสั่งที่กระทรวงมหาดไทยวางระเบียบไว้หรือไม่ไม่เป็นสารสำคัญ
จำเลยซื้อที่ดินมาจากผู้อื่น ในหนังสือสัญญาซื้อขายระบุว่า ทิศใต้ติดทางสาธารณะการที่โจทก์นำสืบพยาน(บุคคล) ว่า ทางสาธารณะนั้นมีอาณาเขตกว้างยาวเท่าใด แม้จะทำให้เนื้อที่ดินตามหนังสือสัญญาซื้อขายลดความกว้างไปบ้างโจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบได้เพราะด้านกว้างและด้านยาวตามหนังสือสัญญาซื้อขายอาจคลาดเคลื่อนหรือคู่สัญญาที่ซื้อขายอาจนำรังวัดรุกล้ำแนวทางสาธารณะก็เป็นได้
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยบุกรุกทางสาธารณะอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินจำเลยต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดิน
(ข้อกฎหมายตามวรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่8-9/2512)
ทางสาธารณะในเขตเทศบาลซึ่งโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกนั้น โจทก์จะได้รับมอบหมายจากกรมทางหลวงหรือไม่และจะได้ขึ้นทะเบียนตามคำสั่งที่กระทรวงมหาดไทยวางระเบียบไว้หรือไม่ไม่เป็นสารสำคัญ
จำเลยซื้อที่ดินมาจากผู้อื่น ในหนังสือสัญญาซื้อขายระบุว่า ทิศใต้ติดทางสาธารณะการที่โจทก์นำสืบพยาน(บุคคล) ว่า ทางสาธารณะนั้นมีอาณาเขตกว้างยาวเท่าใด แม้จะทำให้เนื้อที่ดินตามหนังสือสัญญาซื้อขายลดความกว้างไปบ้างโจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบได้เพราะด้านกว้างและด้านยาวตามหนังสือสัญญาซื้อขายอาจคลาดเคลื่อนหรือคู่สัญญาที่ซื้อขายอาจนำรังวัดรุกล้ำแนวทางสาธารณะก็เป็นได้
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยบุกรุกทางสาธารณะอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินจำเลยต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดิน
(ข้อกฎหมายตามวรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่8-9/2512)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะบริวารหลังหย่า: สิทธิในการอยู่อาศัยบนที่ดินเช่าเมื่อถูกขับไล่
จำเลยแต่งงานกับ ฉ. แล้วจำเลยขึ้นทะเบียนอยู่บ้านพิพาทกับ ฉ. โดยลงว่าจำเลยเป็นหัวหน้าครอบครัว ฉ. เป็นภริยา จำเลยเช่าที่ดินซึ่งบ้านพิพาทปลูกอยู่จากบิดาโจทก์ได้เสียค่าเช่าตลอดมา เมื่อจำเลยกับ ฉ. จดทะเบียนหย่ากันแล้ว จำเลยก็ยังไปมาหาสู่ ฉ. ดังนี้ถือว่า ฉ.เป็นบริวารจำเลย เมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยให้รื้อเรือนออกไปจากที่ดินโจทก์แล้ว ฉ. ไม่มีสิทธิจะอยู่ได้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะบริวารหลังหย่า: สิทธิในการอยู่อาศัยในที่ดินเช่าเมื่อถูกขับไล่
จำเลยแต่งงานกับ ฉ. แล้วจำเลยขึ้นทะเบียนอยู่บ้านพิพาทกับ ฉ. โดยลงว่าจำเลยเป็นหัวหน้าครอบครัว ฉ. เป็นภริยา จำเลยเช่าที่ดินซึ่งบ้านพิพาทปลูกอยู่จากบิดาโจทก์ได้เสียค่าเช่าตลอดมาเมื่อจำเลยกับ ฉ. จดทะเบียนหย่ากันแล้ว จำเลยก็ยังไปมาหาสู่ ฉ. ดังนี้ถือว่า ฉ. เป็นบริวารจำเลย เมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยให้รื้อเรือนออกไปจากที่ดินโจทก์แล้ว ฉ. ไม่มีสิทธิจะอยู่ได้ต่อไป