พบผลลัพธ์ทั้งหมด 938 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5662/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงจากการแสดงข้อความเท็จในการกู้เงิน: อายุความเริ่มนับเมื่อคดีขัดทรัพย์ถึงที่สุด
จำเลยเบิกความในคดีที่บิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่า บ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของบิดาจำเลยแสดงว่าจำเลยรู้มาแต่แรกแล้วว่า บ้านไม่ใช่ของจำเลย การที่ จำเลยนำบ้านดังกล่าวประกันเงินกู้โจทก์โดยระบุในสัญญากู้ ว่าเป็นบ้านของจำเลย จึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดง ข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้โจทก์ยอมให้จำเลย กู้เงินและส่งมอบเงินที่กู้ให้ การกระทำของจำเลยจึงเป็น ความผิดฐานฉ้อโกง ปัญหาอายุความความผิดฐานฉ้อโกงในคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงในคดีที่บิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ว่า บ้านที่จำเลยนำไปประกันเงินกู้โจทก์นั้นเป็นบ้านของจำเลยหรือของบิดาจำเลยจึงต้องถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อคดีร้องขัดทรัพย์ถึงที่สุดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5662/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงจากการนำทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นหลักประกันหนี้สิน โดยแสดงข้อความเท็จต่อเจ้าหนี้
จำเลยเบิกความในคดีที่บิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่า บ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของบิดาจำเลยแสดงว่าจำเลยรู้มาแต่แรกแล้วว่า บ้านไม่ใช่ของจำเลย การที่ จำเลยนำบ้านดังกล่าวประกันเงินกู้โจทก์โดยระบุในสัญญากู้ ว่าเป็นบ้านของจำเลย จึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดง ข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้โจทก์ยอมให้จำเลย กู้เงินและส่งมอบเงินที่กู้ให้ การกระทำของจำเลยจึงเป็น ความผิดฐานฉ้อโกง ปัญหาอายุความความผิดฐานฉ้อโกงในคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงในคดีที่บิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ว่า บ้านที่จำเลยนำไปประกันเงินกู้โจทก์นั้นเป็นบ้านของจำเลยหรือของบิดาจำเลยจึงต้องถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อคดีร้องขัดทรัพย์ถึงที่สุดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4555/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยความผิดฐานกักขังและฉ้อโกง: เหตุผลเพียงพอและพยานหลักฐานโจทก์เชื่อได้
การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกคำพยานโจทก์แต่ละปากขึ้นวินิจฉัยว่าพยานโจทก์เบิกความว่าอย่างไร แล้วฟังว่าจำเลยบังคับให้โจทก์ทำงานกักขังให้ปราศจากเสรีภาพและหลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานให้แก่ตนโดยจะไม่ใช้ค่าแรงงานให้โดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง เป็นการวินิจฉัยคดีโดยมีเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว และการที่ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานโจทก์แล้วเชื่อตามพยานโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดและลงโทษจำเลยนั้น เท่ากับเป็นการวินิจฉัยแล้วว่าพยานหลักฐานจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้หรือไม่อย่างไร คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีข้อสำคัญที่เกี่ยวกับเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 186 (6)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเล่นพนันบนรถโดยสารไม่เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน และผู้เสียหายร่วมกระทำผิดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายกับบุคคลอีกคนหนึ่งให้ร่วมเล่นการพนันบนรถโดยสารประจำทาง ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
ผู้เสียหายสมัครใจเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด ผู้เสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดตามมาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ผู้เสียหายสมัครใจเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด ผู้เสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดตามมาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงและการเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย: การหลอกลวงเล่นการพนันบนรถโดยสาร
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายกับบุคคลอีกคนหนึ่งให้ร่วมเล่นการพนันบนรถโดยสารประจำทาง ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนทั่วไป หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343 ผู้เสียหายสมัครใจเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำผิด จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 อันเป็นความผิดอันยอมความได้พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเล่นพนันบนรถโดยสารไม่เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ผู้เสียหายร่วมกระทำความผิด ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายกับบุคคลอีกคนหนึ่งให้ร่วมเล่นการพนันบนรถโดยสารประจำทาง ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
ผู้เสียหายสมัครใจเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด ผู้เสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดตามมาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
ผู้เสียหายสมัครใจเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด ผู้เสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดตามมาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260-4262/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปิดสาขาธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
นับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับลงวันที่ 19 กันยายน2519 เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5(7) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 และประกาศกระทรวงการคลังฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2519เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาต ฯ ใช้บังคับ บริษัทที่ประกอบธุรกิจเงินทุนจะต้องยื่นคำขอรับอนุญาตภายใน 60 วัน และจะมีสาขาไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถ้าบริษัทใดมีสาขาอยู่แล้วและประสงค์จะมีสาขานั้นต่อไปก็ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตไปพร้อมกันด้วย บริษัทจำเลยที่ 2 เปิดสาขาหลังจากวันที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชน จึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชน จึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3717/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียว ความผิดฐานฉ้อโกง แม้มีผู้เสียหายหลายราย หากกระทำในวาระเดียวกัน
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย 4 คนในเวลาเดียวกันเป็นการกระทำกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2963/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การใช้เครื่องชั่งผิดอัตราเพื่อฉ้อโกง ถือเป็นเจตนาเดียวกัน
จำเลยมีเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้า และใช้เครื่องชั่งดังกล่าวในวันเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาอันเดียวกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2917/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นให้เสียทรัพย์ คดีไม่ขาดอายุความเมื่อโจทก์ยังไม่รู้ถึงการกระทำผิด
จำเลย ป. และ จ. ไปพูดกับโจทก์ร่วมให้หาคนงานไปทำงานต่างประเทศ โดยจำเลยพูดอวด อ้างว่า ป. เป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดบี.อาร์.บิซเน็ส จำเลยและ จ. เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ มีการแจ้งประเภทงานและเงินเดือน กับสวัสดิการที่จะได้รับ ตลอดจนกำหนดวันเดิน ทางซึ่งเป็นเท็จ ทั้งจำเลยกับพวกยังเป็นผู้พาคนงานไปตรวจโรคที่โรงพยาบาลอีกด้วย โจทก์ร่วมหลงเชื่อตามที่จำเลยกับพวกกล่าวอ้าง ได้จัดหาคนงานและเก็บเงินส่งให้ ป.ดังนี้การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงและบุคคลที่สาม เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 การที่โจทก์ร่วมจ่ายเงินให้คนงานแทนไปก่อน ในวันที่ 3กุมภาพันธ์ 2526 เพราะกลัวจะถูกคนงานดำเนินคดี ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมรู้ถึงการกระทำผิดของจำเลยกับพวกในวันดังกล่าว ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2526 จึงทราบเรื่องแน่ชัดว่าจำเลยกับพวกไม่ได้ดำเนินกิจการส่งคนงานไปทำงานต่างประเทศและหลบหนี จึงได้ไปร้องทุกข์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2526 ยังไม่เกินสามเดือน คดีไม่ขาดอายุความ.