คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ที่ดินพิพาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานะจากเจ้าของร่วมเป็นเจ้าของคนเดียวมีผลต่อสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์จำเลยพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่นา ราคา 1,000 บาท ของนายช้างเจ้ามรดกเดิมซึ่งเป็นสามีของโจทก์และบิดาของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์และจำเลยได้ทำนาพิพาทร่วมกันมาในฐานะเป็นเจ้าของรวม โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองในนาพิพาทครึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองนาพิพาทมาแต่ฝ่ายเดียว จำเลยมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในนาพิพาทภายหลังนายช้างบิดาตายแล้ว พิพากษาแก้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในนาพิพาท ให้จำเลยและบริวารออกจากนาพิพาท ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 33/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของที่ดินเหนือคำสั่งศาล: บุคคลภายนอกคดีพิสูจน์สิทธิเหนือกว่าคำสั่งเดิมได้
จำเลยเคยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในที่ดินโฉนดของโจทก์ จนศาลได้มีคำสั่งว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทในคดีดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าว พิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลย ที่พิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ คำสั่งของศาลดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันโจทก์ จำเลยจึงนำคำสั่งดังกล่าวมาอ้างใช้ยันโจทก์ไม่ได้ และเมื่อโจทก์แจ้งให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป จึงถือได้ว่าจำเลยอยู่โดยละเมิด
โจทก์สืบเรื่องค่าเสียหายแล้ว แต่ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายถึงขนาดนั้น ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1782/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยหลอกลวงและสิทธิในทรัพย์สินมรดก ศาลพิจารณาการแบ่งสิทธิร่วมในที่ดินพิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยโดยบรรยายข้อเท็จจริงมาในฟ้องเกี่ยวกับเจตนาในการทำนิติกรรมรายนี้ว่า โจทก์ที่ 1 ถูกจำเลยหลอกลวงว่าให้ทำนิติกรรมเสียทีหนึ่งก่อน แล้วค่อยโอนให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4ในภายหลัง โจทก์ที่ 1 จึงโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยโดยไม่รู้เท่าทันถึงเหตุการณ์ โจทก์ที่ 1 ไม่มีเจตนายกที่ดินพิพาทให้จำเลยแต่เพียงผู้เดียวเป็นฟ้องที่กล่าวโดยชัดแจ้งพอให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว แม้โจทก์จะระบุด้วยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นกลฉ้อฉลและเป็นการแสดงเจตนาลวงอันเป็นการขัดกันก็เป็นการยกเอากฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงตามความเข้าใจของโจทก์ หาเป็นเหตุที่จะถือว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไม่
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งหมด แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้ยกส่วนของตนให้จำเลยไปแล้ว และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะทายาทผู้รับมรดกของ ส. บิดาซึ่งยังมีทายาทอื่นอีก เช่น จำเลย อีกด้วย. เฉพาะส่วนของ โจทก์ที่ 1ในฐานะภริยาของ ส. ซึ่งยกให้จำเลยนั้น ข้อเท็จจริงก็ยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่ามีอยู่ครึ่งหนึ่งหรือ 1 ใน 3 ดังนี้ ยังไม่สมควรที่ศาลจะพิพากษาให้แบ่งส่วนในที่ดินพิพาทไปเลย ควรให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินรายพิพาทตามคำขอของโจทก์เท่านั้นฝ่ายใดจะมีกรรมสิทธิ์อยู่เป็นส่วนเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่กันเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การล้อมรั้วเพื่อรักษาสิทธิเดิมระหว่างข้อพิพาท ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
การเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันผู้กระทำจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 นั้น ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่ก่อน แล้วเกิดข้อพิพาทกันขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับสุขาภิบาล ว่าสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในที่พิพาทนี้ยังอยู่แก่จำเลยหรือว่าตกเป็นของสุขาภิบาลไปเสียแล้ว การที่จำเลยเข้าล้อมรั้วเพื่อครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่เกิดโต้แย้งสิทธิกันอยู่เช่นนี้ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดินพิพาท: เจตนาและความชัดเจนของกรรมสิทธิ์
คดียังไม่ได้ความชัดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือของนางพอนจำเลยเข้าไปทำนาในที่พิพาทโดยนางพอนให้เข้าไปทำ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ตามนัยฎีกาที่ 253/2510

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในการยึดทรัพย์ และการถอนอายัดที่ดินพิพาทที่ถูกยึดก่อน
ผู้ร้องเป็นโจทก์และเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 209/2511 และผู้ร้องได้ยึดที่ดินพิพาทในคดีนี้ไว้ในคดีที่กล่าวแล้ว ผู้ร้องชอบที่จะมีคำขอให้ขายทอดตลาดที่ดินพิพาทแต่ในคดีนั้นจะประกาศขายทอดตลาดได้หรือไม่ ต้องว่ากล่าวกันไปในคดีที่ผู้ร้องเป็นคู่ความ ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งถอนอายัดในคดีที่ผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความด้วยและกรณีไม่ต้องด้วยข้อห้ามมิให้ยึดซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำนองสิ้นสุดเมื่อ น.ส.3 ที่ออกโดยไม่สุจริตถูกเพิกถอน แม้โจทก์จะรับจำนองโดยสุจริต
จำเลยเอาที่ดินมือเปล่าของผู้ร้องไปออก น.ส.3 เป็นของตนแล้วจำนองไว้กับโจทก์ เมื่อศาลได้พิพากษาให้เพิกถอน น.ส.3 โดยฟังว่าเป็นที่ดินของผู้ร้องแล้วเช่นนี้ แม้ศาลจะมิได้พิพากษาให้เพิกถอนการจำนองด้วย และรับฟังว่าโจทก์รับจำนองไว้โดยสุจริตก็ตาม สิทธิจำนองของโจทก์ที่จะบังคับเอาแก่ที่ดินที่รับจำนองไว้นี้ย่อมเป็นอันหมดสิ้นไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำนองเป็นอันสิ้นสุดเมื่อ น.ส.3 ที่ออกโดยไม่สุจริตถูกเพิกถอน แม้โจทก์จะรับจำนองโดยสุจริต
จำเลยเอาที่ดินมือเปล่าของผู้ร้องไปออก น.ส.3 เป็นของตนแล้วจำนองไว้กับโจทก์ เมื่อศาลได้พิพากษาให้เพิกถอน น.ส.3 โดยฟังว่าเป็นที่ดินของผู้ร้องแล้วเช่นนี้ แม้ศาลจะมิได้พิพากษาให้เพิกถอนการจำนองด้วย และรับฟังว่าโจทก์รับจำนองไว้โดยสุจริตก็ตาม สิทธิจำนองของโจทก์ที่จะบังคับเอาแก่ที่ดินที่รับจำนองไว้นี้ย่อมเป็นอันหมดสิ้นไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2148/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีแผ้วถางป่า การระบุอาณาเขตไม่จำเป็นหากจำเลยเข้าใจที่ดินพิพาท
โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความสำคัญว่า จำเลยบังอาจแผ้วถางป่าและเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในป่าห้วยอีเลิง ตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร มีจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ฯลฯ นั้น เป็นการบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้วว่าเป็นที่ดินของรัฐในป่าห้วยอีเลิงจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ หาจำเป็นที่จะต้องระบุความกว้างยาวและทิศไหนจดอะไรไม่ เพราะได้ระบุจำนวนเนื้อที่ที่จำเลยทำการแผ้วถางยึดถือครอบครองแล้วฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886-1888/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินวังขังน้ำร่วมกัน การแบ่งแยกที่ดินพิพาทเมื่อไม่สามารถระบุขอบเขตกรรมสิทธิ์ชัดเจน
โจทก์จำเลยและผู้อื่นอีก 3 คนต่างเป็นเจ้าของที่ดินนาเกลือซึ่งอยู่ทางเหนือต่อจากที่ดินเหล่านี้ลงไปทางใต้ เป็นที่ดินยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นวังขังน้ำที่คนเหล่านี้ช่วยกันทะนุบำรุงรักษาและใช้น้ำในวังขังน้ำสำหรับทำนาเกลือร่วมกัน ไม่อาจกำหนดลงได้ว่าเจ้าของนาเกลือคนใดเป็นเจ้าของที่ดินวังขังน้ำตรงไหน เมื่อโจทก์เลิกทำนาเกลือจะเปลี่ยนเป็นทำนากุ้งในที่ดินวังขังน้ำซึ่งอยู่ติดต่อตรงกับที่ดินนาเกลือของโจทก์ แต่พอเริ่มเข้าทำจำเลยก็ขัดขวางและเข้าทำบ้าง และเกิดพิพาทกันในชั้นตำรวจและอำเภอตลอดมาโจทก์จำเลยต่างแยกกันครอบครองและแย่งกันทำประโยชน์ ต่างก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาท แต่ยังไม่มีฝ่ายใดเข้าครอบครองโดยสงบเป็นส่วนสัด เมื่อคดีมาสู่ศาล ศาลย่อมแบ่งที่พิพาทให้โจทก์จำเลยฝ่ายละครึ่ง
of 51