คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
นายจ้าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,104 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5892/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินบำเหน็จไม่ใช่สิทธิทางกฎหมาย แต่เป็นข้อตกลงสภาพการจ้าง การจ่ายเงินบำเหน็จหรือไม่อย่างไรเป็นสิทธิของนายจ้าง
เงินบำเหน็จมิใช่เงินที่นายจ้างมีหน้าที่จะต้องจ่ายตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน การจะจ่ายเงินบำเหน็จหรือไม่อย่างไรเป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะตกลงกันไว้อย่างไรก็ได้ ระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จกำหนดว่า ในกรณีที่พนักงานประจำมีสิทธิได้รับทั้งเงินชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานและเงินบำเหน็จ ถ้าเงินบำเหน็จมากกว่าเงินชดเชยให้ตัดเงินบำเหน็จออกเท่ากับเงินชดเชย ถ้าเงินบำเหน็จน้อยกว่าเงินชดเชยก็ให้ได้รับเงินชดเชยอย่างเดียว ดังนี้เป็นการกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายเงินบำเหน็จ มิใช่เป็นการกำหนดเกี่ยวกับสิทธิที่จะได้รับเงินชดเชย สิทธิที่จะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานมีอยู่อย่างไรก็เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ข้อกำหนดวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จ ไม่กระทบกระเทือนถึงคนอื่นที่มิได้ตกลงด้วย จึงมิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นค่าจ้าง นายจ้างต้องจ่ายตามส่วน หากเลิกจ้างโดยมิได้มีความผิด และมิได้ใช้สิทธิลาหยุด
ค่าจ้างหมายความรวมถึงเงินที่จ่ายให้ในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย และถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มีความผิด ให้จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ โดยให้จ่ายเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน ดังนั้นค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงเป็นค่าจ้าง ลูกจ้างทำงานมานาน 1 ปี 8 เดือนครึ่ง แล้วถูกเลิกจ้าง โดยมิได้มีความผิด เมื่อยังมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วน ที่มีสิทธิได้รับโดยสำหรับปีแรกเต็มปีจำนวน 6 วันทำงาน และอีก 8 เดือนครึ่งจำนวน 4 วันทำงาน รวมเป็น 10 วันทำงาน เมื่อนายจ้างเลิกจ้างก็ได้จ่ายเงินค่าจ้าง เงินค่าสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินค่าชดเชยให้ครบถ้วนแล้ว คงมีปัญหาเฉพาะเรื่องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีโดยนายจ้าง อ้างว่าลูกจ้างใช้สิทธิลาหยุดด้วยวาจาไปครบถ้วนแล้วซึ่ง ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าในฐานะที่นายจ้างประกอบกิจการโรงพยาบาล ก็น่าจะมีวิธีการจดแจ้งหรือบันทึกเรื่องการลาหยุดไว้ จึงฟังได้ว่า ลูกจ้างยังมิได้ใช้สิทธิลาหยุด พฤติการณ์ที่ปรากฏยังไม่เพียงพอว่า นายจ้างจงใจผิดนัดในการจ่ายโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จึง ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม โจทก์ฟ้องขอให้ชำระเงินเพิ่มเติมของเงินค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 68,400 บาท และให้ชำระเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15ของเงินค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วันนับแต่วันฟ้อง โดยมิได้มีคำขอให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงเป็นข้อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าว ในศาลแรงงานกลาง และคำขอนี้ก็มิได้ระบุไว้ในคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติสัมพันธ์มิใช่ลูกจ้าง-นายจ้าง แม้ทำงานในสถานี โจทก์ซื้อเวลาออกอากาศ จัดรายการเอง ไม่ถือเป็นค่าจ้าง
จำเลยที่ 1 มีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ของสถานีเพื่อให้โจทก์สามารถเป็นผู้จัดการสดได้เท่านั้น มิได้มีเจตนาจะทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ และโจทก์ก็มิได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ 1นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ฐานะลูกจ้างและนายจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเงินต่าง ๆ ตามฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3951/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง แม้มิได้บรรยายฟ้องฐานนั้นโดยตรง หากมีเหตุรับผิดตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 3 อนุญาตให้จำเลยที่ 2 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 เข้าแล่นในเส้นทางเดินรถประจำทางของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการเดินรถรับส่งผู้โดยสารจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุโดยประมาทชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานใด แต่ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าจำเลยที่ 3 อนุญาตให้เจ้าของรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเข้าแล่นในเส้นทางเดินรถประจำทางของจำเลยที่ 3 โดยเจ้าของรถและจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกันเมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของเจ้าของรถคันเกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมด้วย ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย ฟ้องโจทก์ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 โดยชัดแจ้งแล้วซึ่งจำเลยที่ 3 เข้าใจข้อหาดี ได้ให้การต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดไว้ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม แม้โจทก์กล่าวในฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในฐานมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท ธ. ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของบริษัทดังกล่าว ต้องถือว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วยที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิด หาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องไม่ จำเลยที่ 1 เห็นโจทก์ข้ามถนนอยู่ข้างหน้าในระยะที่สามารถชะลอความเร็วให้โจทก์เดินข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย แต่หาได้กระทำไม่กลับเร่ง ความเร็วขึ้นเพื่อจะขับให้ผ่านพ้นโจทก์ไปก่อน แต่ไม่พ้นกลับเฉี่ยวชนโจทก์ แม้โจทก์จะข้ามถนนนอกทางม้าลายก็มิใช่หมายความว่าโจทก์ประมาทเสมอไป กรณีดังกล่าวหากจำเลยที่ 1 ชะลอความเร็วลงเหตุย่อมไม่เกิดขึ้น ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วยจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3561/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งนายจ้างชอบด้วยกฎหมาย แม้ใช้คำว่า 'ขอร้อง' หากวิญญูชนเข้าใจได้ว่าเป็นคำสั่ง
ที่หัวกระดาษเอกสารที่มีถึงโจทก์ มีเครื่องหมายและชื่อบริษัทจำเลยพร้อมที่อยู่และวันเดือนปีที่ทำขึ้น ต่อจากนั้นมีข้อความว่า"ถึงคุณอัจฉรา ปั้นน้อย พนักงานบัญชี เรื่องให้ตอกบัตรบันทึกเวลาทำงาน หนังสือฉบับนี้เป็นการขอร้องให้คุณบันทึก เวลาทำงานของคุณที่บริษัทออยล์เท็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยใช้เครื่องบันทึกเวลาลงในบัตรทั้งเวลาเริ่มทำงานและเวลาเลิกงาน ขอให้รับบัตรตอกเวลาดังกล่าวได้ที่หัวหน้าของคุณ ลงชื่อ น.รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ" แม้เอกสารดังกล่าวใช้คำว่าขอร้อง แต่โดยสภาพและเนื้อความของเอกสารทั้งฉบับ วิญญูชนที่พบเห็นย่อมทราบดีว่า น.รองประธานฝ่ายปฏิบัติการและกรรมการของบริษัทจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา และถือได้ว่าเป็นนายจ้างของโจทก์ ต้องการที่จะสั่งให้โจทก์ตอกบัตรบันทึกเวลาทำงานตามข้อบังคับของจำเลยเพียงแต่น. ใช้ถ้อยคำสุภาพเป็นภาษาอังกฤษซึ่งแปลเป็นไทยว่า ขอร้องอันเป็นรูปแบบหนึ่งของการสั่งให้ทำนั่นเอง ดังนั้น เอกสารดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ย่อมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้าง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง แม้ลูกจ้างนอกเวลาทำงาน
การที่จำเลยที่ 2 ขับรถในวันเกิดเหตุเป็นการปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้เหตุจะเกิดในขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถเอามาเก็บ และก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 จะใช้รถขับไปเที่ยวมาก่อนก็ถือว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ดังนี้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในความเสียหายจากการทำละเมิดนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง แม้ลูกจ้างจะออกนอกเส้นทางปฏิบัติหน้าที่
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปเบิกน้ำมันตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในระหว่างนั้นได้ขับรถไปเพื่อซื้อยาให้คนงานของจำเลยที่ 2 จึงเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ที่ 1 กำลังขับอยู่ ดังนี้แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงยังสถานที่ที่เบิกน้ำมันแล้วจึงออกไปซื้อยาภายนอกสถานที่ดังกล่าว อันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยที่ 2 และระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้กลับไปยังที่ทำการเดิมของจำเลยที่ 2 ก็ถือว่าจำเลยที่ 1 ยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่การงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1957/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการประมาทของลูกจ้าง: จำเลยที่ 2 ไม่ผูกพันคำพิพากษาในคดีอาญา หากโจทก์พิสูจน์ความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้างไม่ได้
คำพิพากษาคดีอาญาที่พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ประมาททำให้ ส.บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างเมื่อโจทก์นำสืบพยานอื่นรับฟังไม่ได้สมคำฟ้อง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องละเมิดจากหนังสือร้องเรียนที่ไม่เป็นความจริง และความรับผิดของนายจ้างต่อลูกจ้าง
การฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายในมูลละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 432 ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์คนละเท่าใด เพราะจำเลยต้องร่วมกันรับผิดตามฟ้องอยู่แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชา กล่าวหาว่าโจทก์ไม่ยอมทำงานเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มือคติ ในการทำงาน พยายามหน่วงเหนี่ยวและกระทำการเป็นกำแพงฟ้องกันการส่งสินค้าออก ซึ่งเป็นการร้องเรียนกล่าวหาฝ่าฝืนความจริง จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 810/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมของนายจ้างต่อความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างในการขับรถ และการพิสูจน์เจ้าของรถ/ผู้ครอบครอง
จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญานำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุมาร่วมรับส่งคนโดยสารกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้หาพนักงานประจำรถมาทั้งหมด รวมทั้งการจ่ายเงินเดือนและการเลิกจ้างด้วย จำเลยที่ 1 เป็นผู้ประกอบการขนส่ง จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถยนต์ ขณะเกิดเหตุยังใช้ชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ติดอยู่ข้างรถยนต์คันดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 จะให้จำเลยที่ 3 เช่าซื้อรถยนต์คันนั้น แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังคงเป็นเจ้าของและเป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 1ด้วย ดังนี้จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในความประมาทเลินเล่อที่คนขับรถคันดังกล่าวได้ก่อขึ้น รถยนต์บรรทุกซุงของจำเลยที่ 5 เลี้ยวขวาจะเข้าอำเภอเมือง สิงห์บุรี รถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 แล่นมาทางตรง ชนตรงกลางท่อนซุงจนสาลี่และซุงล้มตะแคง หน้ารถยนต์ของจำเลยที่ 2 เสียหายยับเยินยุบไปถึงที่นั่งคนโดยสารทำให้คนโดยสารตาย 3 คน ขณะรถยนต์บรรทุกซุงเลี้ยวมีเด็กท้ายรถลงมายืนให้สัญญาณเพื่อให้รถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 ชะลอรถ แต่รถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2ไม่ชะลอ แสดงว่าขับด้วยความเร็วสูงไม่ชะลอรถเมื่อถึงทางแยกและไม่ระมัดระวังความปลอดภัยข้างหน้า ดังนี้ฟังได้ว่าคนขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อด้วย จำเลยที่ 1 และที่ 2 นายจ้างต้องร่วมกันรับผิด.
of 111