คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พยานหลักฐาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1193/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานฟังไม่ได้ จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฆ่า การรับฟังพยานบอกเล่าและบันทึกการจับกุม
คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความต่อศาล คงมีแต่คำเบิกความของพนักงานสอบสวนว่า หลังเกิดเหตุ ผ.มาแจ้งว่าจำเลยมาบอกกับผ.ว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นถูกผู้ตาย ซึ่งเป็นการได้รับคำบอกเล่ามาจาก ผ. อีกทอดหนึ่งและถ้อยคำที่รับฟังมาก็มิได้ยืนยันว่าจำเลยยิงผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าเป็นแต่เพียง ผ. ได้รับคำบอกเล่าจากตัวจำเลยว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นถูกผู้ตาย ความจริงจะเป็นเช่นใด ผ. ก็มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ทั้งโจทก์ก็มิได้ตัว ผ. ซึ่งเป็นพยานสำคัญมาสืบในชั้นพิจารณาคดีของศาลคงส่งอ้างบันทึกคำให้การ ในชั้นสอบสวนของ ผ. ซึ่งบันทึกดังกล่าวพนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวและจำเลยไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้าน จึงยังไม่อาจรับฟังยืนยันว่าเป็นความจริงดังกล่าวได้ ทั้งข้อความในบันทึกการจับกุมก็ระบุเพียงว่า จำเลยให้การ รับสารภาพเท่านั้นหาได้มีข้อความบันทึกระบุถึงพฤติการณ์ แห่งการกระทำผิดไว้ไม่ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ ส่วนหนึ่งของพฤติการณ์แห่งคดี บันทึกการจับกุมดังกล่าว จึงยังไม่อาจชี้ยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิด พยานหลักฐาน โจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1177/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน: พยานเอกสารในสำนวนการสอบสวนมีน้ำหนักกว่าพยานบุคคลที่ขัดแย้งกันในชั้นศาล
คำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองนายพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาของศาลมีพิรุธขัดกับเหตุผลไม่น่าเชื่อถือ ต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้จากบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาจับกุมและบันทึกคำให้การของพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนซึ่งกอปร ด้วยเหตุผลปราศจากพิรุธสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าพนักงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจพยานโจทก์ทำบันทึกแจ้งข้อหาจับกุมและให้การ ต่อพนักงานสอบสวนในวันเดียวกันกับวันเกิดเหตุ ย่อมไม่ทัน มีเวลาไตร่ตรองหรือได้รับการติดต่อให้บิดเบือนความจริง เพื่อช่วยเหลือผู้ใด และไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าพยาน ดังกล่าวจะให้การกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่า ข้อเท็จจริงตามบันทึกแจ้งข้อหาจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวน เป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาล ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227บัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงซึ่งพยานหลักฐานทั้งปวงที่ศาลจะใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักนี้ย่อมได้แก่พยานวัตถุพยานบุคคล รวมทั้งพยานเอกสาร ที่โจทก์อ้างและ สืบเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิด ที่จำเลยอ้างและสืบเพื่อพิสูจน์ ว่าจำเลยบริสุทธิ์ รวมทั้งสำนวนการสอบสวนที่ศาลเรียกมา เพื่อประกอบการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องอาญาเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอและมีความสงสัยตามสมควรในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
มูลเหตุที่เจ้าพนักงานไปตรวจค้นบ้านที่เกิดเหตุ เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีการมั่วสุม เสพเมทแอมเฟตามีนและลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านดังกล่าว และในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีกลุ่มวัยรุ่นมั่วสุมที่บ้านดังกล่าวอีกและมีเมทแอมเฟตามีนอยู่เป็นจำนวนมากโดยไม่ปรากฏว่ามีการ ร้องเรียนหรือกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกันลักลอบ จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เหตุที่จับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งจากการ สอบถาม จำเลยที่ 1 รับว่าที่เกิดเหตุเป็นบ้านที่จำเลยที่ 1 เช่าอยู่อาศัยโดยจำเลยที่ 1 มิได้ให้การพาดพิงหรือซัดทอด ถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อันจะพอบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย จำเลยที่ 1 ให้การในทันทีทันใดเมื่อถูกเจ้าพนักงานสอบถามไม่มีเวลา ไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำผู้ใด เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้การไปตามความสัตย์จริง คำให้การของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ทั้งในชั้นพิจารณา จำเลยที่ 1 ก็ยังยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5มาบ้านจำเลยที่ 1 เพื่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1ไว้เพื่อเสพเท่านั้น ดังนั้น แม้จะจับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ได้ในขณะอยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในที่เกิดเหตุ แต่ตามพฤติการณ์ และพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้ รับอนุญาตหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้น ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1139/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่มีพยานสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การ แต่กลับนำสืบข้อเท็จจริงอื่นนอกคำให้การ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย
คดีแรงงาน จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กระทำการจงใจให้จำเลยได้รับความเสียหายและทุจริตต่อหน้าที่ในการยื่นประมูลงานรับเหมาก่อสร้างที่จังหวัดล.โดยโจทก์สมรู้กับผู้เข้าร่วมประมูลงานรับเหมาก่อสร้างรายอื่น เพื่อให้ผู้ประมูลงานรายนั้นได้งานก่อสร้างดังกล่าวไปอันเป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย และเป็นการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงในชั้นพิจารณาจำเลยไม่สืบพยานตามคำให้การ แต่กลับนำสืบว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ในการประมูลงานก่อสร้างศาลากลาง จังหวัด อ. โดยโจทก์รับเงินจากผู้ประมูลรายอื่นมาเป็นประโยชน์ส่วนตน แล้วโจทก์ไม่ยื่นซองประมูลประกวดราคางานก่อสร้าง โดยอ้างว่าโจทก์คำนวณแบบศาลากลางในรายละเอียดไม่ทัน ซึ่งเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ดังนี้ศาลแรงงานจะยกเรื่องที่โจทกกระทำการทุจริตตามที่จำเลยนำสืบมาวินิจฉัยว่าโจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่หาได้ไม่
เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้เห็นอย่างชัดแจ้งตามคำให้การต่อสู้คดี และศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า ในขณะโจทก์ยื่นซองประกวดราคารับเหมาก่อสร้างศาลากลางจังหวัด ล. ที่จำเลยให้การไว้โจทก์ได้ถูกคนร้ายขัดขวางและทำร้ายได้รับบาดเจ็บ จำเลยจึงไม่ให้โจทก์ไปทำงานอีกเพราะเกรงจะเป็นอันตราย ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานรับฟังมาจึงเป็นยุติว่า โจทก์ไม่ได้กระทำการจงใจให้จำเลยได้รับความเสียหาย และจำเลยมิได้ทุจริตต่อหน้าที่ในการยื่นประมูลงานรับเหมาก่อสร้างศาลากลางจังหวัดล. ตามที่จำเลยให้การ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่มีเหตุเพียงพอเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายในส่วนนี้ และเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำความผิดอย่างร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีลักทรัพย์: พยานคำให้การชั้นสอบสวนมีน้ำหนักกว่าพยานปฏิเสธชั้นพิจารณา
พยานโจทก์เบิกความชั้นพิจารณาว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ลักทรัพย์ซึ่งขัดต่อเหตุผล เห็นเจตนาได้ชัดว่าพยานโจทก์เบิกความช่วยเหลือจำเลยมิให้รับโทษศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การโจทก์ในชั้นสอบสวนซึ่งสมเหตุผลยิ่งกว่าได้
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด แต่จำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน นำชี้ที่เกิดเหตุแสดงการลักทรัพย์ประกอบกับคำพยานโจทก์และพฤติการณ์แวดล้อมแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักยางพาราซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกสิกรรม มิได้กล่าวในฟ้องว่า เป็นยางพาราของเจ้าทรัพย์ผู้มีอาชีพกสิกรรม ขาดองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ.มาตรา 335 (12) จึงลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐาน การรับสารภาพ การขัดแย้งในคำเบิกความ และองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
การที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความชั้นพิจารณาว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ลักทรัพย์ขัดต่อเหตุผล เห็นเจตนาได้ชัดว่าเบิกความช่วยเหลือจำเลยมิให้รับโทษศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การโจทก์ดังกล่าวในชั้นสอบสวนซึ่งสมเหตุผลยิ่งกว่าได้ แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด แต่ จำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนนำชี้ที่เกิดเหตุแสดงการลักทรัพย์ประกอบกับคำพยานและพฤติการณ์แวดล้อมแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักยางพาราซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกสิกรรม มิได้กล่าวในฟ้องว่า เป็นยางพาราของเจ้าทรัพย์ผู้มีอาชีพกสิกรรมขาดองค์ประกอบ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(12) จึงลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐาน การขัดแย้งในคำให้การ และองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
พยานโจทก์เบิกความชั้นพิจารณาว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ลักทรัพย์ซึ่งขัดต่อเหตุผล เห็นเจตนาได้ชัดว่าพยานโจทก์ เบิกความช่วยเหลือจำเลยมิให้รับโทษศาลย่อมฟังข้อเท็จจริง ตามคำให้การโจทก์ในชั้นสอบสวนซึ่งสมเหตุผลยิ่งกว่าได้ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิดแต่จำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนนำชี้ที่เกิดเหตุแสดงการลักทรัพย์ประกอบกับคำพยานโจทก์และพฤติการณ์แวดล้อมแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ของผู้เสียหาย โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักยางพาราซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกสิกรรม มิได้กล่าวในฟ้องว่า เป็นยางพาราของเจ้าทรัพย์ผู้มีอาชีพกสิกรรม ขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(12) จึงลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานยืนยัน จำเลยร่วมปล้นทรัพย์ พยานระบุตัวได้ ชี้ตัวได้ และหลบหนีหลังเกิดเหตุ
แม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าขณะเกิดเหตุมีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายชัดเจนอยู่นานพอสมควรจึงจำคนร้ายได้แต่ขณะเบิกความคดีนี้จำคนร้ายไม่ได้เพราะเวลาล่วงเลยมานานถึง 5 ปีเศษแล้วก็ตาม แต่ผู้เสียหายเคยเบิกความไว้ในคดีอาญาก่อนว่าในคืนเกิดเหตุจำคนร้ายได้ 1 คน ทราบชื่อภายหลังว่า ชื่อ อ.และได้ชี้บุคคลที่ศาลทำเครื่องหมายดอกจันไว้ในภาพถ่ายในคดีดังกล่าวประกอบคำเบิกความว่าคือ อ.จำเลยคดีนี้ ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่าบุคคลที่ศาลทำเครื่องหมายดอกจันไว้ในภาพถ่ายคือจำเลย จึงมีเหตุให้น่าเชื่อว่าขณะเกิดเหตุพยานจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยและสามารถชี้ภาพถ่ายจำเลยได้ถูกต้อง ส่วนประจักษ์พยานโจทก์อีก 3 ปาก เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่ออกตรวจท้องที่ในคืนเกิดเหตุก็เพราะได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนร้าย ซึ่งในภาวะและพฤติการณ์เช่นนั้นประจักษ์พยานย่อมมีความระมัดระวังต่อเหตุการณ์ทุกขณะ การที่รถแล่นมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่เปลี่ยวและมีคนออกมายืนข้างถนนส่องไฟฉายขึ้นลงเป็นสัญญาณ ให้รถหยุดย่อมมีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าอาจจะเป็นคนร้ายที่มาดักปล้นรถยนต์ทั้งคนร้ายที่ส่องไฟฉายให้สัญญาณรถยนต์ซึ่งกระทำอยู่หน้ารถย่อมจะหันหน้าเข้าหารถและแสงไฟจากหน้ารถ ก็จะส่องไปที่หน้าคนร้าย ประจักษ์พยานทั้งสามซึ่งคอยระมัดระวังเหตุอยู่แล้วย่อมสนใจมองไปที่คนร้ายที่ส่องไฟฉายว่าจะเป็นพวกที่มาดักปล้นรถหรือไม่ เพราะขณะนั้นก็มีรถจักรยานยนต์จอดอยู่คนละฟากถนน 1 คันและมีชายยืนอยู่ข้างรถ 2 คน แสงไฟหน้ารถที่ส่องสว่างก็สามารถเห็นได้ ตั้งแต่ระยะ 50 เมตรจนกระทั่งรถแล่นเข้าไปใกล้และจอดในระยะห่าง จากคนร้ายประมาณ 10 เมตร ในพฤติการณ์ดังกล่าวประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามย่อมมีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายชัดเจน ประกอบกับประจักษ์พยานโจทก์ต่างก็รู้จักจำเลยดีเพราะเคยจับกุมจำเลยมาก่อน ดังนั้น ที่ประจักษ์พยานยืนยันว่า จำหน้าคนร้ายที่ส่องไฟฉายขึ้นลงเป็นสัญญาณให้หยุดได้ว่าเป็นจำเลยและชี้ตัวจำเลยในชั้นสอบสวนได้ถูกต้องด้วยจึงน่าเชื่อถือนอกจากนี้ ในคืนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจได้ยิงต่อสู้กับคนร้ายด้วย ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจก็ติดตามจับ ส. ได้เพราะถูกยิงได้รับบาดเจ็บไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล แสดงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ทราบชื่อคนร้ายตั้งแต่คืนเกิดเหตุจึงช่วยสนับสนุนให้คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งขึ้น อนึ่ง หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปนานถึง 5 ปีเศษ นับว่าเป็นพิรุธ ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ก็เป็นการนำสืบลอย ๆ มีน้ำหนักน้อยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ฟังได้ว่าจำเลย กับพวกได้ร่วมกับ ส. กระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีอาญา: การพิจารณาความพิรุธและข้อสงสัยในพยานหลักฐาน
ในคืนวันเกิดเหตุจำเลยว่าจ้างป. ให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คลองเตยตกลงราคากันอยู่นานประมาณ 2 นาทีไม่ได้ความว่า ป.ได้สังเกตตำหนิรูปพรรณของจำเลยว่ามีลักษณะพิเศษอย่างไร ทั้งสถานที่จอดรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ป.จอดรถอยู่ข้างวัดอยู่ห่างจากประตูซุ้มถึง 200 เมตรแสงสว่างจากไฟฟ้าที่ประตูซุ้มน่าจะส่องมาไม่ถึง นอกจากนี้ระหว่างทางที่ ป.ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งคนร้ายก็ไม่ปรากฏว่าได้พูดคุยหรือหันมามองหน้าคนร้ายแต่อย่างใดน่าเชื่อว่าตอนที่คนร้ายไปว่าจ้างให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งป.คงเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดเจนปรากฏว่า ป.รูปร่างสูงใหญ่มีร่างกายแข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งมีรูปร่างผอมสูงและเป็นคนติดยาเสพติด ตามสภาพไม่น่ามีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อย ป.จนล้มลงจากรถจักรยานยนต์และจำเลยคงไม่กล้าเสี่ยงกระทำการดังกล่าวเป็นแน่ ประกอบกับภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจให้ ป. ไปขอหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถมาร้องทุกข์ แต่ ป. กลับนำหนังสือมอบอำนาจมาให้เป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุแล้วถึง 5 วัน ทำให้ ป.มีเวลาปรุงแต่งลักษณะตำหนิรูปพรรณของคนร้ายก็เป็นได้เมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่มาตลอด พยานหลักฐานโจทก์จึงมีพิรุธและมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การร่วมกันปล้นทรัพย์: ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลและคำรับสารภาพ
พยานจำคนร้ายว่าเป็นจำเลย และ ม.เพราะรู้จักมาก่อนและเห็นโดยอาศัยแสงตะเกียงที่ศีรษะไว้ส่องเวลากรีดยางซึ่ง ย่อมส่องสว่างพอให้มองได้ชัดในระยะ 3 ถึง 5 เมตร หลังเกิดเหตุ ได้ไปบ้าน ท. พ่อตาของจำเลยบอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งทันที ท. ขอร้องไม่ให้แจ้งความ รับจะจัดการเองและจะจ่ายค่าเสียหายให้ส่วน จ. ซึ่งเป็นกำนันได้แจ้งวันเกิดเหตุจากผู้เสียหายว่าถูกคนร้ายลักทรัพย์จึงถามเรื่องคนร้าย ท. บอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายและรับปากว่าจะเจรจาเรียกค่าเสียหายให้ผู้เสียหายยินยอม ทั้งจำเลยเข้ามอบตัว ให้การรับสารภาพ และนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้ที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปไว้ ประกอบกับจำเลยให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยโดยเฉพาะยากที่ พนักงานสอบสวนจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเองได้ พยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจริง
of 259