คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องร้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3303/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้เช่า ไม่จำเป็นต้องแนบสัญญาเช่าเป็นหนังสือ
ในการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่าและเรียกค่าเสียหาย ไม่มีกฎหมายใดบังคับให้ต้องแนบสัญญาเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดมาพร้อมกับฟ้องประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บังคับแต่เพียงว่าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ซึ่งฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยไม่แนบสัญญาเช่ามาพร้อมกับฟ้อง จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 การฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ผู้เช่ายังคงอยู่ในที่เช่าต่อมาหลังจากสัญญาเช่าระงับแล้ว มิใช่เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าโจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงขึ้นค่าเช่ากันจากที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่า เพื่อให้ศาลกำหนดเป็นค่าเสียหายให้โจทก์ตามจำนวนดังกล่าวได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 แต่ประการใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3239/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องตรงกับตำแหน่งผู้มีอำนาจ ณ ขณะเกิดเหตุ แม้ฟ้องโดยระบุตำแหน่ง แต่ผู้ดำรงตำแหน่งเปลี่ยนไปแล้ว ถือไม่มีอำนาจฟ้อง
แม้ในช่องคู่ความในคำฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9เป็นจำเลยโดยมิได้ระบุตำแหน่ง แต่ในคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 1ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 เป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็นผู้ออกคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารและมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์ตามลำดับ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเก้าในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว การฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้รื้อถอนอาคารซึ่งออกโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ต้องฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือกรุงเทพมหานครโดยตำแหน่งซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1มิได้ดำรงตำแหน่งตามฟ้องแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนต่อมา ก็พ้นจากตำแหน่งก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องได้เพราะมิได้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะปฏิบัติราชการได้ และย่อมมีผลต่อไปถึงจำเลยอื่นด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีย่อมไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น คำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และคำร้องขอแก้ฟ้องเลื่อนจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีหรือทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งคำร้องนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3239/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง: จำเลยต้องดำรงตำแหน่งขณะเกิดเหตุ หากมิได้ดำรงตำแหน่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้ฟ้องโดยระบุตำแหน่ง
แม้ในช่องคู่ความในคำฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 เป็นจำเลยโดยมิได้ระบุตำแหน่ง แต่ในคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 1ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 เป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็นผู้ออกคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารและมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์ตามลำดับ ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเก้า ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้ดำรงตำแหน่งตามฟ้องส่วนจำเลยที่ 2 ก็พ้นจากตำแหน่งก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยที่ 1และที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องได้ เพราะมิได้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะปฏิบัติราชการได้ และย่อมมีผลไปถึงจำเลยอื่นด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีย่อมไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น คำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และคำร้องขอแก้ฟ้องเลื่อนจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีหรือทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลจึงไม่จำเป็นต้องสั่งคำร้องนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผูกพันตามเช็ค: แม้ข้อเท็จจริงต่างจากฟ้องก็ไม่ทำให้คดีเสีย หากจำเลยลงลายมือชื่อสลักหลัง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลัง เป็นอาวัล แม้โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2 นำเช็คของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ของจำเลยที่ 2เองต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คและจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คแล้วเป็นอันถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผูกพันต่อโจทก์ตามเช็คพิพาทแม้การที่โจทก์ได้เช็คไว้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้าง ก็ไม่ถึงกับทำให้คดีโจทก์เสียไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอตั้งผู้จัดการมรดกไม่ใช่ฟ้องเรียกทรัพย์ ไม่อยู่ในอายุความ 1 ปี
คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกไม่ใช่คดีฟ้องเรียกทรัพย์มรดกไม่อยู่ในอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอตั้งผู้จัดการมรดกมิใช่ฟ้องเรียกทรัพย์มรดก ไม่อยู่ในอายุความ และมีทรัพย์มรดกที่จะต้องจัดการ
คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกไม่ใช่คดีฟ้องเรียกทรัพย์มรดกไม่อยู่ในอายุความ 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการผ่อนชำระหนี้: การเริ่มนับอายุความแต่ละงวด และผลกระทบต่อการฟ้องร้อง
เมื่อเงินประกันของโจทก์ที่จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนโจทก์นั้นโจทก์ได้ตกลงยอมให้จำเลยผ่อนชำระคืนโจทก์เป็นงวด ๆ งวดละเดือนการที่โจทก์มาฟ้องเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลย เป็นการเรียกเอาจำนวนเงินอันพึงส่งเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ มีกำหนดเวลาแน่นอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 จึงมีกำหนดอายุความห้าปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องเรียกค่าภาษีเพิ่มเติม ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ หากประเด็นต่างจากคดีเดิม
คดีเดิมซึ่งจำเลยฟ้องโจทก์มีประเด็นข้อพิพาทว่า การประเมินภาษีอากรของโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ และโจทก์ที่ 1 มีหน้าที่ต้องคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารและชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยหรือไม่ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยนี้มีประเด็นว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรเพิ่มเติมจากที่โจทก์ได้รับชำระจากจำเลยและจากธนาคารผู้ค้ำประกันเพียงใดหรือไม่ประเด็นในคดีทั้งสองแตกต่างกัน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามที่บัญญัติให้จำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้นั้น มิได้บังคับให้จำเลยต้องฟ้องแย้งมาในคำให้การเสมอไป แต่เป็นบทบัญญัติที่ให้จำเลยเลือกฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ หรือจะฟ้องเป็นคดีใหม่ก็ได้ตามแต่จำเลยจะพิจารณาเห็นสมควร ดังนั้นการที่โจทก์มิได้ฟ้องแย้งมาในคำให้การคดีก่อน หากแต่ได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากทายาทผู้รับมรดก กรณีผู้ตายขับรถประมาท ชนเสียหาย ศาลรับฟ้องได้
แม้ชื่อ จำเลยในช่อง คู่ความและคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะไม่ได้ระบุว่า โจทก์ฟ้องจำเลย ทั้งแปดให้รับผิดในฐานะ อะไรก็ตามแต่ คำฟ้องของโจทก์ได้ บรรยายว่าจำเลยทั้งแปดเป็นทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของ ก. ผู้ตาย โดย จำเลยที่ 1 เป็นคู่สมรสของ ก. จำเลยที่ 2, 3, 4 เป็นบุตรผู้สืบสันดานของ ก.ผู้ตายเกิดจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5, 6 เป็นผู้สืบสันดานของ ก. ผู้ตาย เกิดจาก ร. จำเลยที่ 7 เป็นบิดาผู้ตาย จำเลยที่ 8เป็นมารดาผู้ตาย และได้ บรรยายด้วย ว่า ก. ขับรถยนต์ โดยประมาทชนกับรถยนต์ คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย และ ก. ตาย ในที่เกิดเหตุ ย่อมพอเข้าใจได้ ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปดให้รับผิดในฐานะ ผู้รับมรดกของ ก. ผู้ตาย หาใช่ฟ้องให้รับผิดเป็นส่วนตัวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2306/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้องประกันชีวิต: ใช้ อายุความทั่วไป 10 ปี หากไม่มีกฎหมายเฉพาะ
การฟ้องร้องเรียกเงินตามสัญญาประกันชีวิต มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นพิเศษ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปมีกำหนดสิบปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 164.
of 100